BED FRIEND : 028



028


อย่างที่บอกว่า จากประสบการณ์บนเตียงของผม มาร์คเนี่ยถือว่าเด็ดสุด
              
อาจจะเพราะเราทำกันมานาน มาร์คมันถึงรู้ทุกจุดที่ผมชอบ รู้ทุกมุมที่ผมแพ้
                   
บางทีผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน..ว่าจะมีคนที่ ‘เด็ดกว่ามาร์ค’ ผ่านเข้ามาในชีวิตบ้างไหม








              “อ้าวพี่แจ็ค ฉีดน้ำหอมตั้งแต่เมื่อไหร่?”
              
              เสียงทักจากยุนอาที่นั่งอยู่ข้างๆกันพูดขึ้นเมื่อผมหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ได้ จริงๆผมว่าไม่ได้ฉีดมาเยอะขนาดนั้นนะ แต่กลิ่นมันชัดขนาดนั้นเลย?              
              “ก็เพิ่งซื้ออ่ะ” ผมตอบไปตามตรง “หอมมะ? เข้ากันป่ะ?”
              รุ่นน้องร่วมแผนกย่นจมูกใส่ผมอย่างหมั่นไส้ แต่เธอก็ยังชมว่ากลิ่นนี้เข้ากับผม เลือกได้ดีทีเดียว ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มรับ กอบโกยความดีความชอบไว้กับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว


              ...ไม่บอกหรอกนะว่าคนเลือกมันคือใครสักคนที่เพิ่งจะแยกกันตรงชั้น 32 นี่เอง


              



              
              ปกติผมไม่ฉีดน้ำหอมเป็นเรื่องเป็นราวหรอกครับ คือมีก็ฉีด ถ้าไม่มีก็ไม่ฉีด บางทีก็มีคนให้มาเป็นของขวัญเหมือนกันแต่ว่ามันไม่ใช่กิจวัตรที่จะต้องทำเป็นปกติก็เลยฉีดบ้างไม่ฉีดบ้าง แต่หลังๆมา.. ช่วงที่มาร์คมันบอกว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มันทำงานไม่ได้นี่แหละ ผมก็เลยต้องฉีด
              
              ดูจะเป็นเหตุผลงงๆใช่ไหมครับ? แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเหตุผลแบบมาร์คๆที่ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
              
              เอาเป็นว่า.. มันลงทุนไปซื้อน้ำหอมขวดใหม่มา แกะกล่อง และพรมใส่ผมแบบไม่ถามไถ่ความสมัครใจกันสักคำตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว ไม่สิ วันศุกร์ตอนเย็นด้วยซ้ำ หลังจากนั้น มันก็เทียวมาดมผมทั้งวัน..
              
              พูดจริงๆไม่ตอแหล ขนาดตอนนี้แถวๆคอผมยังรู้สึกหลอนๆเหมือนมีอะไรมาแตะอยู่ตลอดเวลาเลย มาร์คมันทั้งหอมทั้งไซ้ตลอดเวลาจนผมไม่รู้จะบ่นอะไร และไม่ใช่ว่ามันจะรู้สึกไม่ดีเสียเมื่อไหร่ ถึงบางทีมันจะน่ารำคาญบ้างเวลาที่มาร์คมันขยันเรียกผมมาฉีดใหม่ทุกๆเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง
              
              และบางทีมันก็ทำผมมึน..



                            
              ปกติมาร์คฉีดคนเดียว มันก็แค่กลิ่นอ่อนๆ แต่พอผมฉีดด้วย แล้วดันมาทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันแบบแนบสนิทชิดเนื้อเนี่ย.. กลิ่นน้ำหอมแม่งก็อบอวลไปหมด มันไม่ได้แสบจมูกหรืออะไรหรอกครับ แต่ด้วยความร้อนจากอุณหภูมิร่างกายของเรา ความใกล้ชิด ทำให้กลิ่นมันผสานกันจนไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้สึกเหมือนโดนขังเอาไว้ด้วยกลิ่นหอมๆจนบางทีก็รู้สึกตาพร่าขึ้นมาเฉยๆ รู้สึกมากขึ้นกว่าเดิมจนเผลอทำเกินสองรอบทุกที
              
              ...แล้วพอจะมาทำงานวันนี้ มันก็ฉีดให้ผมตอนเราอยู่ในรถด้วยกัน ยื่นหน้ามาจูบจนเกือบจะขาดอากาศหายใจตาย กว่าจะปล่อยได้ผมก็มึนน้ำหอม เมาจูบ สติสตังไม่ค่อยทำงานจนเกือบจะไม่ยอมให้มันลงจากรถแล้ว...










              เออแฮะ ไอ้น้ำหอมนี่มันเวิร์คว่ะคุณ
              
              วันนี้ผมนั่งทำงานได้โดยไม่รู้สึกงุ่นง่านเท่าวันก่อนๆ ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มมีสำนึกรักการทำงานหรือว่าจริงๆแล้วมันเป็นไปตามที่มาร์คมันตั้งสมมุติฐานไว้ หรือสองอย่างผสมกัน แต่กลิ่นน้ำหอมที่อบอวลอยู่ใกล้ๆนั่นทำให้ผมจดจ่อกับอะไรๆได้นานขึ้น


              หืม? น้ำหอมอะไรเหรอครับ?               
              จะอะไรอีกล่ะ กุชชี่ขวดนั้นนั่นแหละ ขวดเดียวกันกับของมาร์คเลย

              ด้วยทฤษฏีของมาร์คที่ว่าถ้าผมฉีดน้ำหอมเหมือนมันแล้ว เวลาที่เรานั่งทำงานแยกแผนกกันก็จะได้รู้สึกเหมือนว่าผมอยู่ใกล้ๆด้วย จะได้ไม่ฟุ้งซ่านมาก.. เป็นไงครับ? ฟังดูบ้าบอไหม? ผมว่ามาร์คแม่งโคตรเพี้ยน


              แต่เป็นอาการเพี้ยนที่น่ารักที่สุดในโลกเลยให้ดิ้นตาย
              เกิดมา 20 กว่าปีก็เพิ่งรู้นี่แหละว่ามีรูมเมทเพี้ยนๆก็ดีไปอีกแบบ...





              “พี่แจ็ค… ช่วงนี้ยิ้มคนเดียวบ่อยนะ”
              ผมยักไหล่ขำๆกับคำแซวนั้น ไม่รู้สิ คนมีความสุขมันก็ต้องยิ้มไม่ใช่รึไง เรื่องปกตินี่ “ก็งั้นแหละ..”
                             
              “ถามจริงๆนะพี่ อย่าโกหกกัน...” คนที่นั่งทำงานโต๊ะติดกันยื่นหน้าเข้ามา ลดเสียงลงเหมือนจะกระซิบ “พี่คบกับพี่มาร์คแล้วใช่มะ?”
              “เปล่า.. เพื่อนกัน”
              “เอาจริง?” ยุนอาทำเสียงแบบไม่เชื่อสุดชีวิต “พี่.. ยังไงมันก็ไม่เหมือน มันไม่เหมือนเลยจริงๆ”




              ก็มันจะไปเหมือนได้ยังไง? ผมกับมาร์คน่ะเลยเส้นเพื่อนมาไกลแล้ว ไกลจนไม่รู้ว่ายังเหลืออะไรบ้างที่เรายังไม่ได้ทำด้วยกัน? จดทะเบียนสมรสมั้ง? ฮันนีมูนก็ไปมาแล้วนี่..ที่มัลดีฟนั่นไง
              

              “ก็ไม่เหมือน แต่ก็เพื่อนกันไง”
              ผมหัวเราะเบาๆ เท้าคางบนมือข้างที่ ‘เพื่อน’ มันเพิ่งจูบลงมาเมื่อเช้าก่อนโดนลากออกมาจากที่นอน แล้วพอคิดถึงก็..ยิ้มอีกแล้ว “เพื่อนแบบ..พิเศษนิดนึง”
 
             
              ยุนอาเบ้ปากใส่ผม ผมรู้ว่าเธอไม่ได้จริงจังนักหรอก และเพราะความเป็นห่วงนั่นแหละที่ทำให้เธอถาม ซึ่งผมก็ขอรับความรู้สึกนั่นไว้เฉยๆก็แล้วกัน แต่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยว่าอะไรยังไงน่ะผมไม่คิดจะเล่าให้ใครฟังหรอก ต่อให้สนิทกันแค่ไหนผมก็ไม่อยากให้ใครรู้ คนเข้าใจมันน่ะมีแค่ผมกับมาร์คก็พอแล้ว


              “แล้ว..แบบนี้มันดีจริงๆเหรอพี่..”


              “ทำไมไม่ดีล่ะ?”
              
              “ก็…” ผมมองคนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะผมไม่มีความคิดแบบที่พวกผู้หญิงมักจะเป็นด้วยมั้ง แบบที่ว่า..ไม่ได้อยากจะออกไปประกาศว่ามาร์คมันเป็นอะไรกับผมให้ใครรู้เท่าไหร่ ถ้ามาร์คบอกว่าจะเป็นของผม และบอกว่าผมจะเป็นของมาร์ค แค่นั้นก็พอแล้วจริงๆ


              “ถ้ามีคนมาจีบพี่มาร์ค.. พี่โอเคเหรอ?”
                             
              “ถ้ามีคนเข้าหาพี่มาร์คมากๆ พี่จะยืนดูเฉยๆเหรอพี่?”


              “ไอ้คำว่า ‘เพื่อนกัน’ เนี่ย… มันใช้ห้ามใครไม่ได้นะ”





           ประโยคนั้นของยุนอาติดอยู่ในหูผมยันเย็น.. ไม่รู้ทำไม






-----------------------------------------------------------------------------------------







              เย็นนี้เราแวะดื่มที่ร้านประจำ.. บาร์ที่ผมกับมาร์คชอบไปนั่นแหละครับ หลังจากไปมัลดีฟกลับมาเราก็ไม่ได้แวะเข้าไปอีกเลย กลัวว่าเจ้าของร้านจะลืมหน้าลูกค้า VIP อย่างเราเสียก่อนก็เลยเข้าไปเสียหน่อย

              ที่นั่งตรงบาร์ของเรามันก็ยังว่างเหมือนเดิม คงอย่างที่ว่าแหละครับ คนที่จะมาร้านเหล้าคนเดียวได้เนี่ย ถ้าไม่นัดใครเอาไว้ก็ถือว่ามาล่าเหยื่อ ซึ่งก็ไม่ค่อยมีหรอก มันเลยเป็นที่นั่งที่มักจะว่างเสมอ และผมกับมาร์คก็ชอบที่จะไปนั่งตรงนั้น บาร์แถวข้างในสุดของร้าน



              เรายังเป็นจุดรวมสายตาของร้านเสมอ เสียงจ้อกแจ้กจอแจเงียบลงอย่างกับสั่งได้ตอนที่ผมกับมาร์คก้าวเข้าร้าน ไม่อยากจะบอกว่าวันนี้รูมเมทผมมันผีเข้า กลับบ้านไปเซทผมแต่งตัวซะหล่อทั้งที่แค่จะออกไปกินเหล้าเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหล่อไปอวดใคร แค่หัวยุ่งๆเสื้อยืดกางเกงยีนส์คนก็มองจะแย่แล้ว มาใส่เสื้อหนังแบบนี้กะฆ่าคนตายเลยมั้ง?
       
              “เอาเหมือนเดิมครับ”                
              ผมหันไปบอกบาร์เทนเดอร์ที่จำหน้าเราได้ ทักทายกันนิดหน่อยตามประสาคนที่ไม่ได้แวะเข้ามาหลายเดือน แต่ด้วยความมืออาชีพ บาร์เทนเดอร์คนนั้นไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยที่จะทวนชื่อค็อกเทลแก้วโปรดของเรา ส่วนมาร์คก็มีหน้าที่พยักหน้ายืนยัน ก่อนจะเท้าคางลงบนบาร์ หันหน้ามายิ้มให้ผม...

              
              อื้อหือ.. มาร์คต้วนกับเสื้อหนังเนี่ย สมควรเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
              
           หล่อจนอยากจะกัดลิ้นตาย..



              “ยิ้มอะไร?” ผมถามไปงั้นๆ มือล้วงมือถือขึ้นมากดปิดโนติฟิเคชั่นจากมือถือทิ้งให้หมด ใครโทรมาช่างแม่งแล้วคืนนี้ ถ้ามาร์คมันจะหล่อทำลายล้างขนาดนี้...กลับไปยังไงผมต้องได้มันสักรอบสองรอบ ไม่งั้นนอนไม่หลับจริงๆ
             
              “หล่อดี..” เป็นไม่กี่ครั้งที่มาร์คจะไม่ตอบคำถามผมด้วยคำถาม “จงใจให้เหมือนกัน?”
              มันคงหมายถึงเสื้อหนังของผม กับผมที่เซทเสยไปข้างหลังเหมือนมันเป๊ะๆ กางเกงสกินนี่ส์สีดำเหมือนๆกัน และแน่นอน.. น้ำหอมกลิ่นเดียวกันที่ฉีดเองก่อนออกจากห้อง
              
              “เปล๊า..”
              ผมหัวเราะขำๆ เสียงสูงจนมาร์คหัวเราะตาม ก่อนที่ค็อกเทลของเราจะถูกวางลงมาแทบจะพร้อมๆกันบนบาร์ไม้ขัดมันอย่างดี เรายกแก้วชนกันเบาๆทีหนึ่งตามธรรมเนียมก่อนจะยกขึ้นจิบ และในวินาทีที่ผมเหลือบตาไปมองด้านหลังมาร์ค ไม่อยากจะนับเลยว่ามีกี่คนมองมาที่เรา เยอะจนไม่อยากจะบรรยาย






              ผมว่าหนึ่งในหลายๆคนนั้นคงรู้จักผมกับมาร์คดี เรามาด้วยกันเสมอ และหลายต่อหลายคนก็เคยโดนเราหิ้วออกจากร้านไป.. แต่เรื่องวันนั้นก็ของวันนั้นก็แล้วกันนะ วันนี้ลุกไปไหนไม่ได้แล้วด้วย
              “มาร์ค..” ผมบุ้ยใบ้ไปด้านหลัง ไม่ต้องพูดอะไรออกมาสักคำ แต่มาร์คมันก็เข้าใจแหละครับ ถึงได้ยักไหล่ไม่แคร์มาแบบนั้น “ไปเต้นได้ป่ะ?”
              
              “ไม่” คำตอบแบบไม่ต้องรอเวลาคิดเลยจากคนแถวนี้ทำผมหัวเราะขำ
              
              “ชนแก้ว?”
              
              “ไม่ได้”
              
              “ส่งวิงค์นิดนึงอ่ะ”
              
              “ไม่ แค่ยิ้มก็ไม่ได้”
              


              ใครจะบอกว่าน่ารำคาญก็แล้วแต่เลยนะครับ แต่ผมว่าแม่งโคตรน่ารักเลยให้ตาย เหมือนผมรอมันทำตัวเป็นเจ้าของแบบนี้กับผมมานานแล้วยังไงไม่รู้ พอได้ยินแล้วอยากจะลงไปดิ้นกับพื้น แต่ติดที่ยังต้องรักษาภาพพจน์อยู่บ้างเลยยังต้องแปะตัวเองอยู่กับเก้าอี้
              
              แต่คุณก็รู้ว่าต่อให้เรานั่งเฉยๆ คนทั่วไปก็จะเข้าหาเราอยู่ดี คนนั้นคนนี้เวียนเข้ามาขอชนแก้วหลายต่อหลายครั้ง ถึงจะบอกว่าแค่ชนแก้วก็เถอะ แต่มันก็หมายถึงการถามกลายๆว่าพร้อมจะให้อีกฝ่ายสานสัมพันธ์ด้วยไหม
              ซึ่ง..ถ้ามองไอ้คนข้างๆผมแล้วมันก็คงไม่ยอมล่ะครับ ผมเลยต้องเลี่ยงๆไปบ้างด้วยการตอบปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ไปจนถึงตรงๆ ส่วนทางมาร์คน่ะเหรอ? ง่ายกว่าผมเยอะครับ มันแค่ส่ายหน้าแล้วก็ไม่คุยด้วยเลยก็จบเรื่อง
              การเป็นคนนิสัยเสียก็ดีเหมือนกันนะจริงๆแล้ว..







              “ขอโทษนะครับ.. วันนี้มาดื่มกับเพื่อนจริงๆ”
              
              การปฏิเสธการชนแก้วรอบที่ 20 ของผมได้แล้วมั้ง นั่นแหละ.. ต่อให้ผมจะบอกไม่ไปกี่ครั้งมันก็ยังจะมีคนอื่นๆเวียนเข้ามาอยู่ดี เหมือนทุกคนไม่เชื่อว่าวันนี้ผมจะไม่หิ้วใครกลับอย่างนั้น.. มาร์คเองก็พอกัน แต่ด้วยความเข้าหายากของมันอาจจะทำให้ไม่ค่อยมีใครมากวน แต่กระนั้น.. บทสนทนาของเราก็โดนแทรกแทบจะทุกๆ 5 นาทีอยู่ดี               
              ผมเห็นมาร์คถอนหายใจหนักๆทีหนึ่ง หน้ามันยุ่งหมดแล้ว ทั้งที่เมื่อกี้ยังดูอารมณ์ดีๆอยู่เลย.. เสียดายเป็นบ้า


              ...ผมนึกถึงคำพูดของยุนอา..

              
              คงใช่ คำว่า ‘เพื่อน’ เนี่ยมันคงห้ามใครไม่ได้จริงๆ ถ้าบอกว่ามาร์คเป็นแฟนผมก็อาจจะสิ้นเรื่องไปตั้งนานแล้วมั้ง แต่พอจะมาทำเอาตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีใครเชื่อไหม จะหาว่าเราหาข้ออ้างรึเปล่าก็ไม่รู้..


              


              “แจ็คสัน..”
              ขณะที่การเจรจาของผมกับคนที่มาขอชนแก้วตรงหน้าที่ดื้อดึงจนไม่ยอมล่าถอยไปเสียทีกำลังจะดุเดือด มาร์คก็เรียกผมเสียงเรียบ และเมื่อหันกลับไป ผมก็ไม่เห็นอะไรนอกจากรูมเมทตัวเองที่เท้าคางกับบาร์ด้วยหน้าตาเบื่อหน่าย ข้างหลังยังมีคนนั่งมองมันห่างๆอีกเป็นสิบ แต่มันก็กระดิกนิ้วเรียกให้ผมเข้าไปหาใกล้ๆ
              
              และก่อนที่ผมจะทันได้ถามว่ามันมีอะไร จูบหนักๆเหมือนตอนที่มันขาดบุหรี่ก็เบียดลงมา ผมเบิกตากว้างเพียงแค่ครู่เดียว ก่อนจะอ้าปากยอมให้มันจูบตามใจชอบ รับอารมณ์หงุดหงิดที่ผมรู้ดีว่ามาจากอะไรของมันอย่างไม่คิดจะบ่นแม้แต่ครึ่งคำ ..ไม่อยากจะบอกว่าแอบเอียงคอเข้าหาด้วยนิดหน่อย
              แบบว่านั่งเก้าอี้บาร์ห่างๆกันมันจูบไม่ค่อยมันส์..


               ...และถึงใครจะมอง ก็ช่างหัวมัน


              “หวง?”
              ผมถามยิ้มๆ ถึงแม้จะยังหอบ และเสียงซุบซิบนินทารอบๆตัวจะดังขึ้นจนไม่รู้จะเริ่มฟังจากกลุ่มไหนก่อน แต่บอกเลยนะครับว่าเทียบกันไม่ได้กับตอนที่มาร์คตอบกลับมา แม้จะเป็นแค่คำสั้นๆก็ตาม
              
              “เปล่า…”


              “หึง”





              หลังจากนั้น ใครจะว่าหรือมองยังไงก็ช่าง แต่ที่ผมรู้คือไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่ามาร์คที่พาดแขนลงมาบนบ่า กอดคอผมพาเดินออกจากร้านหลังจากที่จ่ายค่าค็อกเทลเรียบร้อยแล้ว ตรงดิ่งกลับไปที่รถ ก่อนที่จูบที่สองจะเริ่มขึ้น




              จริงอย่างที่ยุนอาว่า คำว่า เพื่อน มันคงหยุดใครไม่ได้
              
            การกระทำต่างหาก ที่หยุดทุกอย่างได้





-----------------------------------------------------------------------------------------








              คืนนั้น.. กางเกงผมร่นลงมาถึงข้อเท้าตั้งแต่หน้าประตูห้อง


              มาร์คยังเอาแต่ใจเหมือนเดิม ทั้งกัด ทั้งจูบจนผมแทบจะยืนไม่อยู่ แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มาร์คถอดอะไรออกหรอก.. อย่างที่บอกว่าผมถูกใจลุคนี้ของมันเป็นพิเศษ แค่ปลดกระดุมรูดซิปก็เหลือเฟือ และถึงแม้อีกคนจะบ่นว่าเสื้อจะเปื้อนแต่ผมก็ไม่สนหรอกนะ ถ้ากลัวเปื้อนนักก็ไม่ต้องทำตั้งแต่แรกไม่ง่ายกว่ารึไง?

    
              “ดื้อ..”
              มันบ่น แต่ผมไม่สนใจหรอก ดื้อเพราะใครล่ะ? เอาแต่ใจเพราะใครล่ะ? ผมไม่เถียงหรอกนะ แต่ผมก็เป็นแบบนี้แค่กับมาร์คนี่ คิดซะว่าเป็นอะไรพิเศษๆก็แล้วกัน
              
              “ฮื่อ.. แจ็คสัน...”              
              
              “ไม่เล่นแล้ว… อะ..”
              

              ผมหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งมันคืนบ้าง ตอนที่ผมอยากจะได้มากๆชอบเล่นตัวไม่ใส่ซะที พอตอนผมยกสะโพกหลบบ้างล่ะมาทำเสียงสั่น ส่งสายตาอ้อนกันแบบนี้ ไม่ต้องเลยนะ ไม่เห็นใจง่ายๆหรอก..
              
              “อา.. แจ็คสัน.. พอ..”
              
              “สัญญาก่อน..” ผมต่อรอง ยักคิ้วยียวนใส่หน้าคนที่พยายามจับเอวผมให้อยู่นิ่ง เบียดตัวเองเข้ามาที่ปากทางจนขนลุกด้วยความร้อนผ่าวของมัน หัวจินตนาการไปล่วงหน้าถึงตอนที่มันเข้ามาข้างใน
              


              “ถ้าใส่เข้ามา..”
              
              “..ไม่ถึงเช้า ห้ามเอาออก..”



              
              มาร์คไม่ได้ตกลงหรือปฏิเสธ.. และผมเองก็ไม่ได้เล่นตัวมากไปกว่านั้น ทนแทบไม่ไหวเหมือนกันที่จะให้มันเข้ามา ทำอะไรๆกับผมอย่างที่มันชอบ





              ...แต่ผมว่า ผมทันเห็นพระอาทิตย์แว้บๆอยู่นะ









อย่างที่บอกว่า จากประสบการณ์บนเตียงของผม มาร์คเนี่ยถือว่าเด็ดสุด
                                 
อาจจะเพราะเราทำกันมานาน มาร์คมันถึงรู้ทุกจุดที่ผมชอบ รู้ทุกมุมที่ผมแพ้
              
บางทีผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน..ว่าจะมีคนที่ ‘เด็ดกว่ามาร์ค’ ผ่านเข้ามาในชีวิตบ้างไหม




              
ตอนนี้ผมว่า..ผมหาไอ้คนที่ว่าเจอแล้ว
              
คนที่เด็ดกว่ามาร์ค ถึงใจกว่ามาร์ค และทำผมเสียผู้เสียคนกว่าตอนที่ทำกับมาร์ค




...คือ ‘มาร์คที่กำลังหึง’ นี่แหละ







-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments