BED FRIEND : 020



020



จากทั้ง 25 ปีที่อยู่ด้วยกันมา เราตัวติดกันตลอด
     
อนุบาล ประถม มัธยม มหาลัย ทำงาน เชื่อไหมล่ะว่าเราอยู่ด้วยกันมาตลอด และไม่เคยเบื่อที่มันเป็นอย่างนั้น
     
ผมไม่เคยคิดเลยนะ ว่าถ้าวันหนึ่งเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง





               “โต๊ะใหม่?”
     
               ผมยืนเลิกคิ้วอยู่หน้าพาร์ทิชั่นเดิมๆตอนเที่ยงวัน แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังนั่นช่างเป็นโต๊ะที่ดูไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย จำนวนเอกสารที่เคยกองระเกะระกะ สายไฟที่พันยุ่งเหยิงไปมา หรือแม้แต่สมุดปากกาและโพสต์อิทที่เรี่ยราดเต็มไปหมดถูกกวาดเกลี้ยง เหลือแค่โต๊ะเปล่าๆที่มีเพียงชั้นพลาสติกใส่เอกสารกับแลปทอปคู่ชีพของมาร์คเท่านั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ
     
               “เปล่า..” เจ้าของโต๊ะใหม่ที่ว่ายักไหล่ “แค่จัดโต๊ะ”
               
               โอ้โห นั่นเป็นสิ่งประหลาดยิ่งกว่าโต๊ะใหม่อีกนะนั่น
     
               ร้อยวันพันปีมาร์คไม่เคยเก็บโต๊ะ รกก็คือรก แม้จะผ่านปีใหม่ไปสามครั้งแต่มันก็อยู่สภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ผมล่ะคิดไม่ออกเลยว่าอะไรทำให้มันลุกขึ้นมาขยันแบบนี้
               

               “ช่วงนี้เค้าจะมีการโอนย้ายพนักงานไงพี่แจ็ค” เสียงน้องในทีมของมาร์ค ซึ่งตอนนี้สนิทกับผมมากกว่ามันอีกเนื่องจากเห็นหน้ากันรัวๆมาเดือนกว่าตะโกนมาจากโต๊ะข้างหลังที่ยังมีของกองระเกะระกะเหมือนเดิม ไม่เห็นจะเก็บข้าวของหนีโจรเหมือนไอ้คนตรงหน้านี้แม้แต่นิด
               ผมเลิกคิ้วกับคำตอบนั้น ก่อนที่เด็กคนเดิมจะเฉลยเพิ่ม “ก็แผนกไอทีจะโอนย้ายพนักงานบริษัทเราในสาขาเอเชียทั้งหมดกับอเมริกา แล้วหวยมาออกที่บริษัทเรา พี่มาร์คแกเลยต้องเคลียร์โต๊ะไงครับ”
               ลูกทีมของมาร์คต่างหัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากสนุกสนาน ในขณะที่ผมนิ่งช็อคเป็นหินอยู่หน้าพาร์ทิชั่น
     

               ย้าย? ทำไมไม่มีใครบอกผมวะ?
     
               และยิ่งหันไปมองรูมเมทตัวเองที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยกเอาเอกสารที่มัดปึกนั่นไปกองข้างๆโต๊ะเพื่อเตรียมนำไปทิ้งพร้อมกับกองย่อยๆสองสามกองข้างๆกันแล้วด้วย… ยิ่งทำให้อารมณ์ที่กรุ่นๆอยู่แล้วร้อนขึ้นมา
               “โอนย้ายพนักงานบริษัทเรากับอเมริกางั้นสิ?” ผมถามเสียงเรียบ ส่วนมาร์คก็แค่พยักหน้านิ่งๆ ไม่อธิบายอะไรเพิ่มจนผมขมวดคิ้ว “ทำไมไม่เคยบอกเลย?”
               “เพิ่งรู้เหมือนกันเนี่ย..หัวหน้าเพิ่งบอกเมื่อวันก่อนนี่เอง” มาร์คส่ายหน้านิดๆ ถีบยันเอกสารกองสุดท้ายออกจากโต๊ะไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงไปจัดการกับสายไฟที่กองอยู่บนพื้น ไม่เงยหน้ามาสนใจผมอีก





               ตลอดเที่ยงนั่นผมหน้าไม่รับแขกสุดๆ
               
               มาร์คจะโอนย้ายไปสาขาอเมริกางั้นเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินเลยวะ? ไอ้เรื่องที่ว่าบริษัทเราเป็นสาขาหลักของเกาหลีแต่เป็นบริษัทลูกของฝั่งอเมริกานั่นก็รู้อยู่หรอก แผนกอื่นๆก็มีการโอนย้ายพนักงานอยู่บ้าง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่ามันกระทันหันแบบนี้
               และยิ่งไปถามพี่ผู้จัดการฝ่าย HR แกก็ยืนยันว่ามีการโอนย้ายพนักงานในแผนกไอทีจริงๆ และแน่นอนว่าการโอนย้ายเป็นสิ่งที่จะต้องให้เจ้าตัวยินยอมด้วย ดังนั้น..หากมีการย้ายจริงๆแบบนี้
     
               ...แสดงว่ามาร์คไม่ได้คัดค้านอะไรงั้นสิ?
               นั่นยิ่งทำให้คิ้วผมที่ขมวดเข้าหากันอยู่แล้วตั้งแต่เที่ยงขมวดแน่นเข้าไปอีก



               พักนี้.. ผมก็แกล้งมาร์คมันเยอะอยู่
               ไม่ว่าจะเรื่องไปนอนห้องมันบ้าง วอแวทำตัวเกาะหนึบกับมันบ้าง หรือว่าปฏิบัติการเชิงรุก(?)เอาคืนนิดๆหน่อยๆบ้าง แต่นั่นก็เพราะมาร์คมันเล่นตัวไม่ใช่รึไง?
     
               คิดอะไรอยู่ก็เขียนอยู่บนหน้าแล้วแท้ๆ.. ยังจะมาทำตัวเหมือนไม่รู้สึกอะไรอีก
     
               แต่ก็นั่นแหละ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บ่นเรื่องนั้น รับตัวเองได้เมื่อไหร่ก็มาบอกแล้วกัน และต่อให้มันจะทำตัวขี้เก๊กแค่ไหนแต่ถ้าตราบใดที่มันไม่มีใครตามที่ผมขอผมก็โอเค ผมก็ไม่มีเหมือนกันนี่ไง ออกจะแฟร์ไม่ใช่เหรอ? เราจะอยู่กันแบบนี้ไปวันๆก็ได้ ผมไม่ได้ต้องการให้เราต้องมาควงแขนออกหน้าออกตาหรือป่าวประกาศแต่งงานรับนโยบายใหม่ของอเมริกาแต่อย่างใด ถ้ามันอยู่กับผม เราจะเป็นอะไรกันก็ได้ทั้งนั้น
     
               ...แต่ผลของมันคือ มาร์คกำลังจะหนี
     
               เป็นการหนีที่รวดเร็วมากด้วยนะ มาบอกผมในวันที่จะต้องเก็บของ มันจะบินไปคืนไหนผมก็ไม่รู้ ดีไม่ดีก็คืนนี้ คนอย่างมาร์คน่ะไม่ต้องใช้เวลาเก็บของด้วยซ้ำ โกยๆสองสามอย่างห้านาทีก็ได้แล้ว พาสปอร์ตก็พร้อมใช้ตลอดเวลา ถือคติว่าอะไรขาดไปหาใหม่เอาดาบหน้า มิหนำซ้ำอเมริกาน่ะบ้านเกิดมันไหมล่ะ มีอะไรจะพร้อมไปกว่านี้อีก?

     
               ผมถอนหายใจแรงๆใส่ปึกเอกสารของตัวเอง เคาะมันลงกับโต๊ะดังปึงเพื่อเรียกสติกลับมาทำงานก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปติดต่องานที่ยังค้างคาให้รีบๆจบไปซะ และตอนเย็นผมจะไปที่แผนกไอที

               ไม่ว่ายังไง วันนี้ผมกับมันก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง





-----------------------------------------------------------------------------------------





               “มาร์ค…”
     
               แผนกไอทีปิดไฟลงเกือบหมด แปลกตาชะมัด ทั้งที่เวลายังอยู่แค่ 6 โมงเย็นเท่านั้น มีแค่แสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้ามาร์คที่สะท้อนผมสีเทายุ่งๆนั่น
               
               “คนอื่นไปไหน?” ผมเดินเข้ามาตรงหน้าพาร์ทิชั่น และเมื่อเห็นว่ารอบๆเก้าอี้ที่มาร์คนั่งประจำไม่มีกองเอกสารที่เห็นเมื่อกลางวันอยู่อีกต่อไปแล้วก็พาตัวเองเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังก้มๆเงยๆพิมพ์อะไรบางอย่างในคอมพิวเตอร์ไปด้วย ขยำเศษกระดาษที่เป็นขยะในลิ้นชักโยนเข้าใส่ถังขยะตรงหน้าไปด้วย
               “งานเลี้ยงต้อนรับหัวหน้าไอทีสาขาอเมริกา” รูมเมทผมตอบด้วยเสียงไม่ยี่หระนัก ขาข้างหนึ่งเกี่ยวเก้าอี้ที่อยู่ข้างหลังมาให้เหมือนจะบอกให้นั่ง แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ “แต่บอกหัวหน้าแล้วว่าต้องเคลียร์ของกับจัดเตรียมข้อมูลให้เรียบร้อยเลยจะไม่ไป”

               ผมสูดหายใจลึก ก้าวขาเข้าไปจนเกือบจะชิดกับเก้าอี้ที่มาร์คนั่งอยู่ พยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติทั้งที่ตอนนี้อยากจะตะโกนใส่หน้าแล้วต่อยมันสักที “ย้ายสาขาเมื่อไหร่?”
               ตาคู่นั้นไม่แม้แต่จะสบกับของผม และคำตอบที่ออกจากปากนั้น...ทำให้ผมโถมตัวเองลงไปบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งทันที กระชากเสื้อยืดและคนที่สวมอยู่ขึ้นมาจนกระทั่งลูกแก้วสีน้ำตาลนั่นจ้องกลับมา..
     
               ความสงบนิ่งภายในแววตาคู่คมนั้นทำเอาผมไปต่อไม่เป็น

               “คิดอะไรอยู่.. มาร์ค”
               ผมไม่เข้าใจมาร์คเลยว่ะ ไม่เข้าใจเลย มันต้องการจะทำอะไรกันแน่ มันคิดเหรอว่าจะอยู่ได้โดยไม่มีผม? บ้าไปแล้ว.. เราต่างก็รู้ไม่ใช่รึไงว่ามันทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นอย่างทุกวันนี้กันรึไง?

               “คิดจะทำอะไรกันแน่?”
               
               “...ไม่ได้คิดอะไร”
               

          
               คำตอบแผ่วๆของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด อารมณ์ที่ว่าร้อนๆอยู่แทบจะระเบิดออกมา แม้ตอนที่มือเรียวคู่นั้นดันให้ผมเข้าไปประกบจูบกับมันผมก็ยังกำเสื้ออีกฝ่ายแน่น ระบายอารมณ์กับริมฝีปากบางที่ตอบรับผมแบบรุนแรงไม่แพ้กัน โหมซัดพายุอารมณ์เข้าหากันแบบไม่มีใครยอมใครจนเสียงเก้าอี้ลั่นเอี้ยดจากน้ำหนักที่ทับลงมาเกินระดับการเอนหลัง
     
               มือผมบีบขยำอยู่ตรงหน้าขาของมาร์คในขณะที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ออมแรงเลยกับสะโพกผม ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เราทำอะไรๆกันในออฟฟิส แต่เราไม่เคยงุ่นง่านกันขนาดนี้ ผมไม่แม้แต่จะเสียเวลาแกะกระดุมรูดซิป มือกระชากกางเกงยีนส์แบบโหลดต่ำนั่นให้ลงมาโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น ขับขยับรูดรั้งอย่างบังคับ ในขณะที่มาร์คเองก็สลัดเข็มขัดออกได้และรูดกางเกงลงจากต้นขาผมได้แค่ครึ่งๆกลางๆ

               “อืมมม..” เสียงครางแตกพร่าในลำคอดังแผ่วเมื่อผมขยี้นิ้วลงบนส่วนปลายเน้นๆ ลมหายใจร้อนผ่าวที่กระทบต้นคอทำเอาขนผมลุกซู่ แต่นั่นไม่เท่ากับริมฝีปากที่ก้มลงมาดูดดึงตรงยอดอกแม้แต่น้อย “..รีบ..ไปไหน หืม?”
               ยังจะมีหน้ามาถาม.. แต่ผมไม่มีอารมณ์จะตอบมันหรอกนะ มือหนึ่งล้วงไปที่ใต้ปกเสื้อสูท หยิบซองเจลหล่อลื่นออกมาจากกระเป๋าข้างในพลางโยนให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ยกขาข้างหนึ่งวางพาดไว้กับเก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ ออกคำสั่งเสียงเข้มแม้จะกำลังหอบเพราะอุณหภูมิในร่าง
     
               “รีบ.. ทำเดี๋ยวนี้”




               ถึงผมจะสั่งไปอย่างนั้น..แต่มาร์คแม่งไม่เคยได้อย่างใจผมเลย   
               พอผมอยากได้ช้าๆมันดันรีบ พอผมรีบ มันเสือกทำช้าๆจนหงุดหงิด นิ้วที่อยู่ข้างในนั่นขยับวนไปมาน่าจะรอบที่สามพันได้ ทำไมยังไม่ยอมใส่เข้ามาเสียที เอาแต่ทิ่มเข้าทิ่มออกจนสั่นไปหมด… แต่ดันไม่รู้สึกดีเท่า ‘อย่างอื่น’ ที่มันเคยเอาเข้ามาเลยแม้แต่นิด
     
               “มาร์ค.. เลิกเล่น! ใส่ซะที!” ผมนั่งทับอยู่บนขามัน มาร์คพร้อมยิ่งกว่าพร้อม เล่นไถอยู่ตรงก้นกันขนาดนี้ทำไมจะไม่รู้ แต่ไม่รู้ว่ามันเล่นตัวอะไรอีกถึงได้ไม่ยอมใส่เข้ามา พอผมจะทำเองมันก็กดสะโพกผมไว้นิ่งๆ ดึงไปจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน “ระ..เร็ว..! ไม่เอา..ฮื่อออ...อย่ากัด..ฮะ..”    
                คนที่เพิ่งละปากจากต้นคอของผมเลื่อนตำแหน่งลงมาที่ยอดอก เสื้อก็ยังไม่ได้ถอด สูทก็ยังอยู่ แต่มันก็แหวกสูทออก ขบกัดหยอกล้อผ่านผ้าฝ้ายสีขาวจนตอนนี้เปียกไปหมดแล้ว
   
               “บอกก่อน.. โกรธอะไร..?”
     
                “ยังถามอีก!?”
     
                อารมณ์ผมที่กำลังเคลิ้มๆเมื่อครู่กลับเข้าการสู่โมโหเจียนระเบิดอีกครั้ง มันคิดรึยังเนี่ยก่อนจะพูดออกมา คิลมู้ดชิบหาย “..รู้อยู่แล้วนี่ว่าโกรธอะไร”
     
               “ไม่อยากให้ไป..?”
               
               “ไม่!”
               
               “..ทำไม?”

     
               คำถามนิ่งๆคำเดียวที่ทำผมนิ่ง.. พร้อมกับความโมโหที่พุ่งขึ้นสูงอีกครั้ง
     
               ทำไม? ทำไมต้องทำไมล่ะ? มันก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงว่าทำไม?


               “...มาร์คอยู่ไม่ได้หรอก” เสียงผมที่ลอดไรฟันตอนนี้สั่นไปหมด ไม่รู้ด้วยอารมณ์ไหนบ้าง แต่ผมสั่นไปไปทั้งตัว จ้องเข้าไปในตาคู่คมที่สั่นไหวไม่แพ้กัน “อยู่คนเดียวน่ะ.. ทำไม่ได้หรอก”
     
               “ถ้าทำได้ล่ะ?”
     
               “มาร์ค!!”


               ก่อนที่เราจะได้พลิกสังเวียนอย่างว่ามาต่อยกันจริงๆ เสียงฝีเท้าตรงหน้าห้องก็เรียกสติเราเสียก่อน ผมกับมาร์คผละออกจากกันทันที ยัดตัวเองลงไปใต้โต๊ะของมาร์ค ในขณะที่อีกคนรีบดึงกางเกงขึ้นลวกๆ ใช้เสื้อคลุมทับอีกที ทันเวลาเฉียดฉิว โชคดีที่ผู้มาใหม่ไม่ได้เปิดไฟ
               
               “อ้าวมาร์ค ยังไม่กลับเหรอ?”
               เสียงนั่น ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหัวหน้าแผนกของมาร์ค   
               “เก็บของครับ..” มาร์คเพียงแค่ตอบสั้นๆ ผมได้ยินเสียงมันสูดหายใจลึกก่อนจะถามซ้ำ “พี่ลืมของ?”   
               “อา ใช่ ลืมกระเป๋าเอกสารน่ะ” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆกลับมา “เราเก็บของเร็วแบบนี้ก็ดีแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะนานซะอีก..”
     

   

               “พนักงานจากสาขาอเมริกาเขาจะได้มาแล้วมีที่นั่ง
               โทษทีนะ ที่มันไม่ค่อยมีเลยต้องแบ่งโต๊ะเราไป”


     
               ผมเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน
               ก่อนจะเงยขึ้นไปสบตาใครบางคน.. ซึ่งตอนนี้กำลังยิ้มมุมปากอย่างไม่ปิดบัง
             




               ไอ้....





-----------------------------------------------------------------------------------------






               เสียงขยับกระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วงดังลั่นออฟฟิสแผนกไอที แต่ใครแคร์ กุญแจก็ล็อกแล้ว ด้วยฝีมือไอ้คนตรงหน้าที่ยิ้มกวนประสาทผมนี่แหละ เสียงสะโพกผมกระทบกับหน้าขามันดังถี่ๆติดกัน โกรธ โมโห เสียหน้า อารมณ์ทุกอย่างตีกันไปหมด ยิ่งเห็นยิ้มที่แสยะกว้างจนเขี้ยวโผล่นั่นแล้ว ผมยิ่งเร่งจังหวะให้หนักขึ้นไปอีก

               “อ่ะ..อ๊ะ..!!”
               มือผมที่วางไว้บนหน้าท้องแกร่งของอีกฝ่ายถูกดึงออกจนเสียสมดุล ตัวเอียงไปข้างหน้าจนท่อนบนทาบทับไปกับอีกฝ่าย พร้อมกันกับที่มาร์คสวนสะโพกเข้ามาถี่รัวจนตาพร่า “อ๊าาา..!!!”   
“มะ..มาร์ค..”แรงกระแทกที่ทำให้ภายในบีบรัดตอบสนองแนบแน่นนั่นคงดีเกินกว่าที่มาร์คจะทนได้จริงๆ มันถึงกับสูดปากดังลั่น โยกสวนเข้ามาแบบลืมหายใจ พร้อมๆกันกับผมที่ยิ่งเกร็งตัวรับจนมันครางเครือในคอ ความร้อนแผดเผาจนพูดแทบไม่เป็นคำ
“ฮะ.. ห้าม.. ไปไหน.. อึกก!! ห้าม...อ๊ะ..!?”
     
เสียงสุดท้ายไม่ได้เพราะอารมณ์ แต่เพราะว่าตกใจที่อยู่ๆก็โดนโอบเข้าไปหาคนที่นอนอยู่กับพื้นกระเบื้อง หน้าเราห่างกันแค่ระยะขนตาแทบจะแทงกันตาย เสียงแหบต่ำที่แตกพร่าเพราะอารมณ์พึมพำจนปากแทบจะแตะกันทุกพยางค์
     
“ห้าม..กี่ปี..?” 
ผมถึงกับหลุดขำ ขนาดนี้แล้วยังมาขอระยะเวลาอยู่อีก? แต่เอาวะ มันกล้าถาม ก็บ้าจี้ตอบให้
     
“จนกว่า..จะปีหน้า…”
     
มาร์คหัวเราะเบาๆ แตะจูบหวานจับจิตที่ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ของเราในตอนนี้เอาเสียเลยลงมา


“..ตกลงตามนั้น”
     

   

ไว้ปีหน้า..ค่อยขอเหมือนเดิมอีกรอบละกันนะ








จากทั้ง 25 ปีที่อยู่ด้วยกันมา เราตัวติดกันตลอด
     
อนุบาล ประถม มัธยม มหาลัย ทำงาน เชื่อไหมล่ะว่าเราอยู่ด้วยกันมาตลอด และไม่เคยเบื่อที่มันเป็นอย่างนั้น
     
ผมไม่เคยคิดเลยนะ ว่าถ้าวันหนึ่งเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง



จนถึงวันนี้ผมก็ยังคิดไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง
     
มันคงเป็นคำถามเหมือนกับว่าถ้าตื่นมาแล้วไม่มีแขนกับขาจะรู้สึกยังไงนั่นล่ะมั้ง?
     
เพราะคำตอบคือ ‘ผมไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตปกติได้อย่างไร’ นั่นแหละ..




-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments