BED FRIEND : 026



026


ใครๆก็บอกว่ามาร์คน่ะโลกส่วนตัวสูง เข้าหายาก
     
อาจจะเพราะความไม่พูดของมัน และบรรยากาศรอบๆตัว ผนวกกับการไม่เข้าหาใครก่อน
     
มาร์คเลยดูเหมือนเจ้าชายในหอคอยที่ประตูทางเข้าติดพาสเวิร์ดก็ไม่ปาน




               ...ชีวิตคนเราเนี่ย มันมีลิมิตความสุขที่เท่าไหร่เหรอครับ?
               ตอนนี้เนี่ย ผมว่าของผมมันใกล้จะแตะลิมิตแล้วว่ะ

     
               “มาร์ค อยู่นิ่งๆดิ..”
     
               ผมเอ็ดเบาๆในขณะที่ลากใบมีดไปตามใบหน้าคมๆที่เต็มไปด้วยฟอง แต่ดูมันสิครับ ฟังผมที่สุดล่ะเนี่ย นอกจากมือจะอยู่ไม่นิ่งแล้ว มันยังยักคิ้วกลับมาให้อย่างน่าถีบสุดๆอีกต่างหาก
               ถ้าเลือดออกจะไม่สงสารเลยนะ สมน้ำหน้าให้ด้วย พูดเลย

               นิ้วมือซุกซนยังคงลูบเข้ามาบริเวณต้นขาของผมอย่างช้าๆ จากที่ต้องอ้ากว้างเพื่อให้มันได้เข้ามายืนอยู่ระหว่างนั้นแล้วยังต้องแยกมันออกไปอีกเพราะมือคู่นั้นบังคับ ขนาดว่านั่งโกนหนวดให้แม่งอยู่บนอ่างล้างหน้ามันก็ยังจะลวนลามกันได้ เชื่อเลยจริงๆ


               ผมไม่ได้เกลียดคนมีหนวดนะ แต่..มาร์คมันน่ารักอ่ะคุณ หน้าตามันน่ารักเกินกว่าที่จะปล่อยให้มันมีหนวดได้ มันไม่เข้ากันเลยจริงๆ เวลาเห็นไรหนวดของมันในตอนเช้าๆของบางวันก็เลยอดไม่ได้ที่จะจับมาโกนเสียรอบหนึ่ง

     
               “อือ แบบนี้สิ..”
               ผมยิ้มอย่างพอใจเมื่อลูบไปมาบนหน้าเกลี้ยงๆของอีกคน เมื่อกี้เพิ่งบอกมันน่ารักใช่มะ แต่พอดูดีๆแล้วแม่งหล่อเฉยเลยว่ะ เกลียดความหน้าตาดีของมันจัง “...ค่อยดูเหมือนคนขึ้นมาหน่อย”
               มาร์คหัวเราะเบาๆ “อะไร แล้วก่อนหน้านี้เหมือนอะไร?”

               ถามไปงั้นแหละ สุดท้ายมันก็ยื่นหน้ามาแตะปากกับของผมทั้งที่มือยังวางอยู่บนขา หัวเราะเสียงใสจนตาแทบจะเป็นขีด


     
               แม่ง.. หวานเป็นบ้า หวานจนหมั่นไส้ตัวเองแล้วเนี่ย


               ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโมเมนต์แบบนี้กับมาร์คได้ คือไม่ใช่ว่าปกติเราไม่ถึงเนื้อถึงตัวกันนะครับ แต่มันเป็นการถึงเนื้อถึงตัวเพื่อเรื่องอย่างว่าล้วนๆ ไม่เคยมาหงุงหงิงโรแมนติคกันเท่าไหร่ พอเป็นแบบนี้ก็..แอบไม่ชิน แต่ไม่ได้เกลียดนะ

     
               ออกจะชอบมากด้วยซ้ำ..







               “พี่ไปสูบบุหรี่บ่อยนะช่วงนี้..”

     
               แดเนียล รุ่นน้องในแผนกผมทักขึ้นเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในห้องได้ในช่วงบ่าย มันเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาสงสัยและเป็นห่วงผสมกัน “งานเครียดเหรอ พี่โอเคป่ะ?”
               ผมได้แต่ตอบปฏิเสธยิ้มๆ โบกไม้โบกมือเพื่อยืนยันกับมันว่าผมไม่เป็นไรจริงๆพลางปลีกตัวไปนั่งทำงานที่โต๊ะ


               จะบอกมันยังไงดีล่ะว่า… ที่ขึ้นไปดาดฟ้านั่นไม่ได้ไปสูบบุหรี่

               ถ้ามันมาดมจริงๆจะรู้ว่าไอ้กลิ่นบุหรี่ช็อคโกแลตที่ผมสูบประจำนั่นแทบจะไม่ติดตัวผมเลย นั่นก็เพราะตอนที่ขึ้นไปถึงดาดฟ้าได้ สิ่งที่เดียวที่เราทำก็คือจูบกันอย่างลืมตาย ถึงจะไม่ได้รุนแรงแบบตอนที่หงุดหงิดอะไรมาแต่มาร์คมันก็ยังจูบผมจนหายใจแทบไม่ทันได้อยู่ดี
               
               “เครียด..?”
               ผมพึมพำถามในตอนที่มันผละจูบออก คือจูบเมื่อกี้มันก็หนักพอสมควร บวกกับการดึงผมเข้าหาทันทีที่เห็นหน้ากันทำให้สงสัยว่ามันเป็นอะไรรึเปล่า

               “เปล่า” เสียงแหบต่ำนั่นตอบกลับมา และผมแทบจะไม่มีโอกาสได้พูดต่อเพราะพอสิ้นประโยคมันก็จูบลงมาอีกรอบ สอดแขนเข้ามากอดใต้เสื้อสูทแล้วรั้งเข้ามาชิด ลูบหลังผ่านเสื้อเชิ้ตเนิบๆแต่รู้สึกดีชิบหาย

               “...อยากเจอเฉยๆ”
     
               
     
               ใครก็ได้บอกทีว่านี่คือมาร์ค ต้วนที่ผมรู้จัก ตัวปลอมป่ะวะ!? ไอ้บ้านั่นมันไม่น่ารักขนาดนี้ซะหน่อย!
               แม่งพูดอะไรออกมาวะเนี่ย!?
               
             
           
               คำพูดตรงๆของมันนี่เล่นเอาผมไปไม่ถูก ตอบกลับด้วยเสียงตะกุกตะกักจนน่าขำ
               “พะ..เพิ่งออกมาพร้อมกันตอนเช้ามั้ยล่ะ..สี่ชั่วโมงเอง”

               “ก็อยากเจออยู่ดี..” เดี๋ยวนะมาร์ค พูดไปไซ้คอกันไปนี่ยังไง? อยากเจอหรืออยากอย่างอื่น เอาดีๆซิ
               “..ไม่ได้เหรอ?”
     
               เวลามีไอ้คนหล่อโคตรที่ตัวเองก็มีใจให้แม่งมาซุกหน้าอ้อนงุ้งงิ้งๆอยู่กับคอแบบนี้นี่ควรทำยังไงดีครับ? ผมรับมือไม่ถูกเลยว่ะ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีแฟนชอบอ้อน แต่พอมันเป็นมาร์คแล้วความรู้สึกมันต่างกันอย่างบอกไม่ถูก ใจเต้นกว่าตอนที่คนอื่นทำสักล้านเท่าได้มั้ง
               ...ไม่อยากจะบอกเลยว่าแพ้ชิบหาย

               และด้วยเหตุนั้นก็เลยเผลอตัวปล่อยให้มันไซ้จนพอใจ และต่อให้รู้ว่าเสื้อจะหลุดลุ่ยยับยู่ยี่จนดูไม่ได้ แต่ผมก็ยังปลดกระดุมเชิ้ตออกสองสามเม็ด รูดเนคไทลงต่ำ ปล่อยให้มาร์คมันทั้งกัดทั้งดูดผิวบริเวณนั้น..ที่ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยเป็นสีขาวอีกเลยจนร้อนวูบวาบไปหมด เกือบจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้แล้ว โชคดีที่มันยังพอมีสติอยู่บ้างเลยหยุดได้ทันก่อนที่กระดุมเม็ดที่สี่จะหลุดออกจากที่ แต่ก็ไม่วายมาทิ้งท้ายใส่กันตอนที่ติดกระดุมกลับคืนให้

     
               “..เดี๋ยวคืนนี้มาต่อนะ”





               ก็นั่นแหละ… แล้วพอกลับมานั่งที่ สติสตังจะทำงานก็ไม่มีไง มีแต่คำพูดของมาร์คมันวนเวียนไปมาอยู่ในหัว ไม่อยากบอกว่าจินตนาการไปแล้วสามสิบแปดล้านอย่าง จะว่าผมหื่นก็เอาเถอะ แต่มันไม่เคยพอจริงๆสำหรับเราในเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาทำกันด้วยนะ ผมกับมาร์คน่ะเริ่มฟัดกันเองตั้งแต่สิบห้า.. หรืออาจจะยังไม่สิบห้าเต็มด้วยมั้ง เซ็กส์เต็มรูปแบบของเราเกิดหลังจูบแรกไปราวๆ 3 เดือนเอง
               
               ว่าไงดีล่ะ มาร์คเป็นคนเดียวที่ผมยอมให้มันรุก ไม่รู้ว่าเพราะมันเด็ดมากหรืออะไรแต่ว่ามันเป็นคนเดียวจริงๆที่ยอม กับคนอื่นถ้าตกลงเรื่องนี้กันไม่ได้ก็เลิกคุย และแน่นอนว่า...ไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกดีไปกว่ามาร์คมาก่อน

               และพอนับมาจนถึงตอนนี้ก็.. จะสิบปีแล้ว

               แทนที่จะเบื่อเพราะเราทำกันมาเป็นชาติ แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังอยากจะทำกับมันได้อยู่ทุกวัน ก็ไม่เข้าใจตัวเอง

               แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ผมไม่มีสติจะทำงานหรอกนะ เรื่องอื่นๆก็ทำเอาผมฟุ้งซ่านมากจนนั่งไม่ติดที่อยู่เหมือนกัน อธิบายไม่ถูกเลยว่าเป็นอะไร รู้แค่ว่าอยากจะลากเก้าอี้ยกเอกสารไปนั่งทำแถวๆแผนกไอทีเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรือไม่ก็อยากได้กลิ่นบุหรี่มินท์ กลิ่นน้ำหอมกุชชี่มาสงบจิตสงบใจใกล้ๆ เผื่อไอ้อาการหัวตื้อหัวตันคิดอะไรไม่ออกนี่จะหายไป





-----------------------------------------------------------------------------------------






               ผมอดทนนั่งเคลียร์งานเอกสารด้วยหน้าที่ไม่บอกก็รู้ว่าโคตรเบื่อ ไม่อยากจะบอกเลยว่างุ่นง่านมาก มองนาฬิกาทุก 3 นาทีจนรู้สึกไม่โอเค คว้าไอโฟนกดหาเพลย์ลิสต์ที่เคยเซฟเอาไว้ เสียบหูฟัง เปิดเพลงกรอกหูตัวเองเพื่อเพิ่มสมาธิและตัดเสียงวอแวจากภายนอกออกไปถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
               
     
               วนเพลย์ลิสต์อยู่สองสามรอบ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปได้เท่าไหร่แล้ว แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีแก้วกาแฟวางลงบนโต๊ะข้างๆตัว เดาเอาว่าคงเป็นไอ้น้องในแผนกคนเดิมที่ทักผมตอนที่กลับมาจากดาดฟ้า และโดยไม่หันไปมองผมก็พึมพำขอบคุณมัน ถามราคากาแฟเพื่อจะได้จ่ายคืนได้ถูก
               
               แต่เปล่า.. ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก..
               
               ผมถามซ้ำอีกรอบก็ยังไม่มีใครตอบ ความหงุดหงิดที่ส่วนหนึ่งก็มาจากเอกสารที่น่าเบื่อ ความฟุ้งซ่าน และถามใครก็ไม่มีคนตอบทำให้ผมกระชากอินเอียร์ออกจากหู ตวัดหน้าหันไปจะเค้นเอาคำตอบ

               “อ้าว..”
               
               ...แต่ภาพที่ผมเห็นดันเป็นหัวเทาๆชี้ๆของใครก็ไม่รู้ที่ทำงานอยู่แผนกไอทีชั้น 32 นั่งไขว่ห้างดูดอเมริกาโน่จากร้านเดียวกันกับแก้วที่วางข้างๆเมื่อกี้ และพอผมหันไปมองหน้ามันได้ แม่งก็ยักคิ้วกลับมาให้แทนคำทักทายเสียอย่างนั้น
               มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? แล้วก็ไม่พูดไม่จา

               ผมคว้าแก้วมอคค่านั่นมาดูด ไม่ถามหาราคาค่างวดอีกต่อไป พอรู้ว่าเป็นเงินมาร์คก็เบี้ยวเลยละกัน ส่วนอีกคนก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาเหมือนเดิม แค่ยิ้มกลับมานิดๆ.. แล้วอยู่ๆกาแฟที่กินบ่อยๆก็ดันอร่อยชิบหายขึ้นมาซะเฉยๆ
               
               “มีไร?”
               ผมถามหัวหน้าทีมพัฒนาแผนกไอทีที่มาทำตัวชิลดูดกาแฟอยู่ข้างๆกันตอนนี้ ปกติเก้าอี้นี่ของแดเนียลครับ แต่ไม่รู้ว่าทำยังไงมาร์คถึงมานั่งได้ ส่วนเจ้าของมันก็อัปเปหิตัวเองออกไปนั่งตรงโต๊ะประชุม กลายเป็นว่าตอนนี้เราก็นั่งข้างกันขึ้นมาซะเฉยๆ “ว่างมากว่างั้น?”
     
               มาร์คแค่หัวเราะ ก่อนจะเขยิบมาดึงอินเอียร์อีกข้างออกจากหูผม
     
               “มีคนไปเรียกมาจากที่แผนกเถอะ..”

     
               ผมหันไปมองมันตาโตเลยล่ะครับ นานมากแล้วที่มาร์คไม่ได้คุยกับผมเป็นภาษาจีน เกือบลืมไปแล้วว่าเราเคยใช้ภาษานี้ในการสื่อสารกัน “เห็นเขาบอกว่าพี่แจ็คหน้าเครียดมาก..”
     
               คราวนี้เป็นผมแล้วล่ะที่หลุดหัวเราะ วางมือจากกองเอกสารและปากกาที่เคร่งทำมาแบบลืมเวลา จริงๆก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนอยู่รุ่นน้องมันถึงได้ร้อนรนไปเรียกมาร์คมาแบบนั้น แต่ไม่อยากปฏิเสธอีกเหมือนกัน..เวลาที่มีคนแถวนี้มานั่งข้างๆแล้วที่ฟุ้งๆซ่านๆเมื่อกี้นี่สงบลงเยอะ
               ...ผมจะคิดว่าเป็นเพราะอิทธิพลของน้ำหอมกุชชี่บนตัวมันละกันนะ
               
               เบื่องานเอกสารไง” ว่าแล้วก็ถอนหายใจทิ้ง ดูดกาแฟเย็นๆลงคอให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกนิด “แล้วแผนกอ่ะ?”
               
               “ก็สั่งทิ้งๆไว้งั้นแหละ เดี๋ยวเย็นๆค่อยไปตรวจงาน”

               ผมล่ะชอบจริงๆเวลาเราคุยกันด้วยภาษาที่สามที่ไม่มีใครฟังออก มันพิเศษมากนะครับ เพราะผมรู้ว่าคนที่จะเข้าใจมันก็มีแต่คนที่ผมคุยด้วยข้างๆนี่เท่านั้น จะว่าไปตอนเรียนมัธยมเราก็ทำแบบนี้บ่อยๆ ใช้ตอนนินทาครู แอบบอกคำตอบข้อสอบ หรือแม้แต่เขียนโน้ตส่งให้ในเวลาที่อยากให้เป็นความลับ เหมือนมีโค้ดลับที่ใช้คุยกันยังไงอย่างนั้น
          
               ..อ้ะ ผมเคยบอกใช่ไหมว่าชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะมีโค้ดลับระหว่างเรา แต่ถือว่าอันนี้เป็นข้อยกเว้นก็แล้วกัน เพราะตอนที่อยู่จีนเราก็ใช้โค้ดนี้ไม่ได้อยู่ดี


               “เย็นนี้กินอะไรดี?”  

               คำถามที่ฟังเหมือนคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีนั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ กลับกัน… มันฟังดูน่ารักชะมัด ให้ตายเถอะ วันนี้ผมบอกว่ามาร์คน่ารักกี่รอบแล้ววะ?
               “อยากกินอะไรที่เป็นซุปอ่ะ” ช่วงนี้อากาศหนาวโคตรๆ เหมือนมันจะรู้เลยว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเลยเพิ่มความรุนแรงส่งท้าย ช่วยไม่ได้จริงๆที่ร่างกายผมจะต้องการความอบอุ่นจากอาหาร
               “แต่ไม่เอาเผ็ดนะ ซุปปูได้มะ?”

   
               เชื่อไหมครับว่าแค่การนั่งเลือกมื้อเย็นเนี่ยทำเอาเราคุยกันไปเกือบสิบนาที เลือกร้านว่านานแล้ว ที่เถียงกันว่าจะสั่งกลับบ้านหรือกินที่ร้านนั่นนานกว่าอีก เพราะผมน่ะอยากกินในร้านเพราะขี้เกียจล้างจาน แต่มาร์คมันดันอยากจะให้ซื้อมากินในห้องกับเหล้าเพราะจะได้ดูซีรีย์ส์หมู่บ้านซอมบี้อะไรไม่รู้ของมันไปด้วย แต่สุดท้าย...คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผลเป็นยังไง?

               หึ.. มาร์คต้วนน่ะไม่เคยชนะแจ็คสันหวังได้หรอก






-----------------------------------------------------------------------------------------







               หลังจากมาร์คกลับไปได้ ในแผนกผมก็เริ่มกลับมาจ้อกแจ้กจอแจกันอีกครั้ง ไม่อยากจะบอกเลยว่าเมื่อกี้ทุกคนแม่งเปิดเรดาห์พร้อมเผือกกันเต็มที่มาก ขนาดที่ว่าแผนกผมเป็นแผนกที่เสียงดังที่สุดในบริษัทนะนั่น ไม่บอกก็รู้ว่าทุกคนอยากได้ยินว่าเราคุยอะไรกันมากแค่ไหน
               ...ก็ยอมรับว่าแอบสะใจอยู่บ้างตอนที่หลายๆคนทำหน้าตาผิดหวังเพราะฟังไม่ออก โดยเฉพาะยุนอาที่เดินมากรี๊ดใส่ผม โวยวายว่าผมขี้โกงเพียงเพราะเราใช้ภาษาบ้านเกิดคุยกัน
     
               “พี่ผิดตรงไหน? มาร์คเริ่มก่อนนะ” ผมโบ้ยความผิดให้เต็มๆเมื่อเห็นว่าคู่กรณีไม่อยู่ “จะโกรธก็โกรธมันดิ”
               
               ยุนอาได้ทำเสียงฮึดฮัด แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่ได้จริงจังหรอกครับ ไม่งั้นจะมาทำหน้างอนเป็นปลาทองใส่ผมทำไม “พี่นี่นะ โคตรน่าหมั่นไส้!”
               “เอ้า..” ผมเลิกคิ้ว “อะไรอีกล่ะ”
     
               “ก็ก่อนพี่มาร์คจะมานะ ทำหน้าอย่างกับจะไปฆ่าใคร คนซื้อกาแฟมาให้ยังจะเหวี่ยง” ดูสินั่น.. มีการทำท่าสาธิตเป็นตัวอย่างด้วย ผมอดหัวเราะไม่ได้เวลาที่เห็นคิ้วเรียวนั่นขมวดเป็นปม ปากคว่ำเป็นสะพานโค้งจนเว่อร์ “พอพี่มาร์คมาเท่านั้นแหละ ยิ้มหน้าบานเชียว เกลียด!”     
               เอ่อะ… จริงดิ?
               ขนาดนั้นเลย?
     
               “พี่มาร์คก็อีกคน ไม่คิดจะทักใครเลยถูกแมะ? คนอยู่ทั้งแผนกเป็นสิบยี่สิบคนก็คุยกับพี่อยู่คนเดียวอ่ะ แถมภาษาอะไรก็ไม่รู้ หมั่นไส้!”


               ผมกำลังจะเงยหน้ามาบอกว่ายุนอาน่ะพูดเกินจริง แต่ให้ตาย พอมองหน้าแต่ละคนในแผนกที่พร้อมใจกันเบ้ปากใส่ผมโดยมิได้นัดหมายแล้วก็เถียงไม่ออก.. ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ยิ้มแห้งค้างไว้แบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
               ...แต่เดียวนะ
   



               “สรุปว่ามาร์คมันเดินมาเอง? ไม่ได้มีใครไปตามมันมาเหรอ?”              

               ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารุ่นน้องผมมันอยู่ในช่วงนั้นของเดือนหรือยังไง นี่ก็ถามเพราะสงสัยจริงๆ แต่ที่เธอทำกลับเป็นการตวาดแว้ดลั่นแผนกซะอย่างนั้น

               “ใครจะกล้าเดินไปแผนกไอทีบ่อยๆเหมือนพี่ล่ะคะ? เขาซื้อกาแฟมาให้ขนาดนี้แล้วยังจะมาแกล้งถาม!” ว่าแล้วคุณเธอก็ถอนหายใจฟึดฟัด ทิ้งเอกสารปึกโตลงกับโต๊ะดังตึง
               “เค้าชิปพวกพี่ก็จริง แค่คราวหน้าไม่ต้องให้มานะคะ! อิจฉา!!”



               ...ยอมรับว่าตอนนั้นก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะก๊ากอย่างห้ามไม่อยู่ตอนที่พนักงานหญิงทั้งแผนกผสมโรงโหวกเหวกก่นด่าให้กับความน่าหมั่นไส้ของผม...กับใครบางคนที่ตอนนี้มันคงจามติดๆกันอยู่ในแผนกไอทีนู่นแหละ







ใครๆก็บอกว่ามาร์คน่ะโลกส่วนตัวสูง เข้าหายาก
     
อาจจะเพราะความไม่พูดของมัน และบรรยากาศรอบๆตัว ผนวกกับการไม่เข้าหาใครก่อน
     
มาร์คเลยดูเหมือนเจ้าชายในหอคอยที่ประตูทางเข้าติดพาสเวิร์ดก็ไม่ปาน


สำหรับผม.. มาร์คก็ยังเป็นคนเข้าหายากนั่นแหละครับ
     
เป็นเจ้าชายในหอคอยสูงที่ประตูทางเข้าติดพาสเวิร์ดเหมือนเคย
     
เพียงแต่ว่า… พาสเวิร์ดนั่นมันเป็นชื่อผมเท่านั้นเอง




-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments