BED FRIEND : 025



025


หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง
     
จำไม่ได้แล้วว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน หนังฮีโร่สักเรื่องหรืออะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง
     
แต่ผมไม่เถียงเลยนะว่านั่นคือความจริง






               ผมตื่นขึ้นมาตอนสิบเอ็ดโมงของอีกวัน…
     
               อยากจะโวยวายเหมือนกันว่าทำไมนาฬิกาไม่ปลุก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานคว้าแต่กุญแจห้องกับกุญแจรถกลับบ้าน ทิ้งทั้งกระเป๋า มือถือ แลปทอปไว้บนโต๊ะก็ถอนหายใจแรงๆ มองนาฬิกาบนผนังตรงหน้าที่เข็มยาวกำลังจะชี้เลขหกอย่างปลงๆ ล้มเลิกความคิดจะไปทำงานตั้งแต่เห็นว่าเข็มสั้นมันหยุดตรงกลางระหว่างเลข 11 กับ 12


               ...พรุ่งนี้โดนหัวหน้าด่าแหงแซะ
     
               แต่เอาเถอะ ถ้าจะมีใครที่โดนด่าเพราะโดดงาน ผมว่าอย่างน้อยผมก็ไม่โดนคนเดียวแน่ๆ เพราะอย่างน้อยๆไอ้คนที่มันนอนเอาขาพาดเอวผมอยู่นี่ก็น่าจะโดนด้วยอีกคน..
               ดีไม่ดีมันอาจจะโดนหนักกว่า เพราะอาจจะต้องลาซัก 2 วันเพื่อให้เดินได้เป็นปกติ




               เมื่อวานแจ็คสันมันคึกมาจากไหนไม่รู้ ที่เราทำกันไปสองรอบกับอีกนิดหน่อยบนดาดฟ้านั่นว่าหนักแล้ว กลับบ้านมาเรายังไม่ยอมหยุดกันเลย
               จะบอกว่าผมหื่นก็ได้ ไม่เถียง แต่นั่นเพราะคุณไม่ได้เห็นแจ็คสันแบบเมื่อคืนเหมือนผม..

               ทั้งที่เราทำกันเกินห้ารอบแล้ว ความเร่าร้อนรุนแรงแผ่วลงเหลือแค่การขยับเบาๆแต่ลึกล้ำกับเสียงครวญแหบเซ็กซี่ในลำคอ เนินเนื้อขาวนิ่มตรงสะโพกแดงเป็นปื้นเพราะผมเอาแต่กระแทกมันมาตั้งแต่ตอนเย็นของวันนั้น เนื้อตัวของแจ็คสันมีแต่รอยจูบแดงเป็นจ้ำและรอยฟันของผม มันมีทุกที่จริงๆ ตั้งแต่คอยันข้อเท้า จะข้างหน้าหรือข้างหลังก็ไม่เว้น
               แต่แจ็คสันก็ยังรัดผมแน่นเหมือนเคย แม้กระทั่งตอนที่เราเสร็จพร้อมๆกันอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

               “พักก่อนมั้ย..”
               จำได้ว่าผมถามไอ้คนที่ทำท่าเหมือนจะหลับให้ได้ตั้งแต่เมื่อกี้ แต่อาจจะเพราะผมยังคงขยับอยู่บนตัวมันนั่นแหละถึงได้ยังตื่นอยู่ และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับเพลียๆผมจึงค่อยๆถอนตัวออกจากตรงนั้น
     
               แต่ทันทีที่ทำแบบนั้น อาการเกร็งรัดที่เพิ่มขึ้นจนขยับแทบไม่ได้กับท่อนขาที่ตวัดลงมาเกี่ยวเอวผมเอาไว้ก็มาจากไหนไม่รู้ แจ็คสันรั้งเอวผมเอาไว้ แถมยังขยับตัวเองเข้ามาชิดจนเราแนบสนิทกันเหมือนเดิม ส่งเสียงในลำคอเบาๆอย่างกับพอใจหนักหนากับสัมผัสนั้นทั้งที่ตาแทบจะหลับพริ้ม
     
               “พอแล้ว.. นอน” ผมยีผมชื้นเหงื่อนั่น ทำท่าจะถอนออกอีกครั้ง แต่หัวกลมนั่นกลับสะบัดไปมาอย่างไม่ยินยอม
     
               “ฮื่ออ..” นั่นไง ไม่ทันไร ขาที่เกี่ยวเฉยๆนั่นมาไขว้กันอยู่หลังผมอยู่ดี “ไม่ให้..เอาออก..”
     
               “แจ็คสัน พอแล้ว..”
     
               “ไม่..” ปากสีแดงใกล้ช้ำนั่นเบ้คว่ำลงอย่างขัดใจ “..ใส่เฉยๆก็ได้...อื้ออ.. ไม่ทำไง..”

     
               ดื้อชิบหาย..

     
               แล้วทั้งคืนนั้นผมก็ไม่ได้ขยับออกจากตรงนั้นไปไหนเลยจริงๆ จะมีบ้างก็แค่ตอนที่เราพักกินอะไรกันนิดหน่อย พอเสร็จมันก็ผลักผมลงกับเตียง กดตัวลงมาจนผมกลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแค่สลับลงมานอนเท่านั้น               

               ท่อนขาขาวที่อ้ากว้างคร่อมเอวผมอยู่นั่น.. เร้าอารมณ์ขึ้นอีกห้าหกเท่าได้เมื่อมันประดับไปด้วยรอยจูบ และต่อให้เนื้อตัวของมันจะเปรอะไปด้วยคราบเหนียวๆของอะไรที่คุณก็รู้อยู่แล้วก็ไม่สนใจ แถมหัวเราะคิกคัก ขยับเอวบดยั่วอยู่อย่างนั้น กระตุ้นกันอย่างไม่รู้จักพอจนรู้สึกขึ้นมาอีกรอบ เรียกเสียงครางหวานๆกับรอยยิ้มพอใจของมันให้มาประดับบนหน้า
               เสียงเฉอะแฉะทุกครั้งที่เราขยับนั่นเป็นเพราะความเปียกชื้นของของเหลวข้างในตัวอีกฝ่ายนั่นแหละ อย่างที่บอกว่ามันยอมไม่ให้ผมเอาออก ต่อให้ผมจะปล่อยข้างในกี่ครั้งมันก็ยังคาอยู่อย่างนั้น พื้นที่ข้างในก็ใช่ว่าจะมีเยอะ พอมันไม่สามารถรองรับได้ก็ไม่แปลกเลยถ้าของเหลวเหล่านั้นจะไหลย้อนออกมาทุกครั้งที่เราขยับ เปื้อนตั้งแต่ซอกขาไปจนถึงหน้าท้องผมนู่น

               “อืมมม…” คนที่ขยันเบียดตัวลงมาตั้งครึ่งค่อนคืนยังคงหอบหายใจแรง หลับตาพริ้มพลางเลียปากตัวเองอย่างถูกใจกับสัมผัสข้างใน “อ๊ะ.. ชอบเสียง..อื้ออ ตรงนี้จัง..”
               
               “มัน อึ่ก.. ละ..ล้นออกมาแล้ว..”
     
               “..ช่างสิ” แล้วดูมันเข้า ตอบอย่างกับไม่ใช่ร่างกายตัวเองเลย เอวนั่นก็ไม่เคยหยุดที่จะขยับโยกเลยจริงๆ นี่เป็นผลจากการเข้าฟิตเนสงั้นสิ? ทำไมมันถึงได้แรงเหลือขนาดนี้นะ? “เอาอีก.. เข้ามาอีก..”

               “อุ่นๆดีจะตาย... ชอบ..”



               ต้องอธิบายอยู่ไหมครับว่าตอนนี้ท่าทางของเราตอนตื่นจะเป็นยังไง?
     
               นั่นแหละครับ เอาเป็นว่าตอนนี้ต่อให้ผมอยากจะลุกผมก็ลุกไปไหนไม่ได้นอกจากจะต้องปลุกไอ้คนตรงหน้า แต่ดูจากสภาพมันแล้วดูจะต้องการการพักผ่อนมากกว่าผมหลายเท่านัก และนอกจากจะต้องดึงออก ผมยังต้องสู้กับความเหนียวหนึบแห้งกรังของอะไรๆบนตัวอีกด้วย
               
               สถาการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกทำผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวๆ แต่ทันใดนั้น คนแถวนี้ก็เหมือนจะขยับตัวยุกยิก ย่นหัวคิ้วนิดหน่อย ทำท่าเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา
     
               “..แจ็คสัน ตื่นยัง?” ผมเรียกมันเบาๆ ซึ่งใช้เวลาพอสมควรที่อีกฝ่ายจะส่ายหน้ากลับมานิดๆ “เขยิบออกก่อนเร็ว จะลุกแล้ว”
               แน่นอนว่ามันยังคงส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว ซุกเข้ามาจนหน้าไถอกผม คิดว่าน่ารักเหรอวะ?

               ...ก็เออไง แม่งเอ๊ย
     
               เมื่อหาวิธีปลุกมันไม่ได้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากลองกดจูบเบาๆบนหน้าผาก ก่อนจะกระซิบเบาๆว่าผมจะลุกไปทำข้าวเช้าให้วันนี้ นั่นแหละ แจ็คสันมันถึงได้ยอมลืมตาขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้อย่างสดชื่น ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นเลยสักนิด

              ...ผมต้องโดนมันแกล้งไปถึงเมื่อไหร่ ถามได้ไหม?





-----------------------------------------------------------------------------------------





               หลังจากนั้นคือพิธีกรรมหิ้วรูมเมทไปอาบน้ำ ไม่อยากจะบอกว่าสภาพเราเละมาก และเละกว่าเราคือเตียงนี่แหละ แต่เอาไว้ก่อนเพราะผมต้องจับแจ็คสันไปซัก.. ใช่ครับ ต้องขอใช้คำว่าซัก เพราะต้องจัดการตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวก็เหนียว ตัวก็มีแต่คราบ แม้ว่ามันจะไม่สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเองแต่การมีอ่างอาบน้ำก็ทำให้ทุกอย่างไม่ทุลักทุเลมากนัก
               ...จะมีก็ตรงที่ต้องเอา ‘นั่น’ ที่ค้างอยู่ข้างในออกนั่นแหละครับ
               ณ จุดๆนี้ผมจะไม่พูดถึงปริมาณ.. เอาเป็นว่าเห็นแล้วแจ็คสันมันถอนหายใจยาวมาก ควานไปมาสามสี่รอบนู่นครับกว่าจะมั่นใจว่าเกลี้ยง คนแถวนี้ตัวอ่อนระทวยหมด ออดอ้อนขอให้ผมจูบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนที่นิ้วผมยังอยู่ข้างในนั้น

               กว่าเราลากตัวเองออกจากห้องนอนและห้องน้ำมาได้ก็เกือบๆบ่ายโมง ผมเข้าครัวหาอะไรกินให้อย่างที่พูดไว้จริงๆครับ ปล่อยแจ็คสันมันนั่งดูทีวีไป ใช้ชีวิตประหนึ่งวันนี้เป็นวันหยุดทั้งที่วันทำงานยังเหลือพรุ่งนี้อีกวัน
               
               “มาร์ค..” เสียงเรียกจากฝั่งโซฟาเรียกให้ผมที่กำลังจะหั่นผักชะงักมือ “ไม่เอาข้าวต้มนะ.. จืดอ่ะ”             
               “อ้าว กำลังทำเลย”
               “ไม่เอาาาา” คนที่ที่ต้องกินอาหารอ่อนๆยังคงงอแง ตีมือกับโซฟาประท้วง “ไม่อยากกินอะไรจืดๆ ไม่เอาข้าวต้ม”

               นี่ผมมีรูมเมทกี่ขวบวะเนี่ย..
               แต่ก็อย่างเคย ผมขัดมันได้ที่ไหนคุณก็รู้ “แล้วจะกินอะไร?”


               ผมวางมีดที่กำลังจะหั่นผักเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อคนแถวนี้จะได้ย่อยง่ายหน่อยลง เช็ดมือกับผ้าแถวๆนั้นก่อนจะเดินบริเวณโซฟา ไหนๆถ้ามันจะเรื่องมากขนาดนี้ผมควรถามว่ามันจะกินอะไรไปเลยจะได้ไม่ต้องมาลำบากทำใหม่      
               “ว่าไง อยากกินอะไร?” ผมบีบเล่นตรงหลังคอของคนที่นอนคว่ำอยู่ ส่วนมันน่ะเหรอ หัวเราะอารมณ์ดีเชียวล่ะที่ทำให้ผมยอมตามใจมันได้อีกครั้ง
               
               “อยากกินไก่ทอด เฟรนช์ฟรายชีส แล้วก็เบอร์เกอร์”  

               อื้อหือ แล้วดูรีเควสจะกินซิ เจียมสังขารบ้างอะไรบ้างเถอะวะ
               ไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะหมั่นไส้มันจนบีบก้นแน่นนั่นไปทีหนึ่ง
     
               “เอาดีๆดิ จะได้ทำให้ เอาอันที่กินได้”     
               “งั้น..” หน้าขาวๆกับตาวิบวับแพรวพราวนั่นทำเอาผมต้องถอนหายใจล่วงหน้า ไม่บอกก็รู้ว่ายังไงคำตอบที่จะได้มันต้องไม่ตรงประเด็นกับที่ถามชัวร์ๆ “..อยากกินมาร์ค”
               “ก็กินทั้งคืนแล้วนี่” ผมยักคิ้ว พาตัวเองลงมานั่งเบียดกับมันอยู่บนโซฟา “ยังไม่พอ?”

               “ไม่”

               ผมส่ายหน้าขำๆกับคำตอบที่ได้มาแบบทันควัน กำลังจะเล่นตามมันไปอีกสัก 2-3 ประโยคหรอก แต่เมื่ออีกคนพลิกตัวหงายขึ้นมา พร้อมกับมองมาทางผมด้วยสายตาที่อยู่ๆก็จริงจังขึ้นมาแบบนั้นก็ทำเอาชะงักไปนิดๆ ไหนจะประโยคที่ออกจากริมฝีปากอิ่มนั่นอีก..

               “ยังไม่ได้เป็นของมาร์คเลยนี่”



               ...ผมนึกว่าเมื่อวานมันแค่หลุดปากออกมาเล่นๆเสียอีก
               พอมาได้ยินแบบชัดเต็มปากเต็มคำแบบนี้ก็เล่นเอาไปไม่เป็น จากที่พยายามจะข้ามๆมันไปเสีย ตอนนี้กลายเป็นว่าหนีไม่ได้เพราะสายตาคู่นั้นที่จ้องมา

               ทำไมแจ็คสันมันถึงขยันทำให้ผมปวดหัวขนาดนี้นะ ไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ มันสนุกมากรึไงที่เห็นผมประสาทจะกินทุกครั้งที่พูดเรื่องของเรา.. ผมคิดว่ามันรู้ว่าผมไม่ชอบการพูดคุยในประเด็นนี้ แต่มันก็ขยันเอ่ยถึงทุกทีที่มีโอกาส หลอกล่อให้ผมหลุดปากออกมาด้วยสารพัดวิธี
     
               “แค่ตอบมาคำเดียว มาร์ค ได้หรือไม่ได้”
     
               “แจ็คสัน..” ผมทอดเสียงที่คิดว่านุ่มที่สุดในการเรียกชื่อมัน ขอร้องให้มันเลิกกดดันผมเสียที แต่มือของมันกลับตะปบหมับเข้าที่ข้อมือ กำแน่นเหมือนกลัวผมจะหายไปไหน
     
               “ทำไม? ทำไมชอบหนี?” เล็บสั้นๆที่เราเพิ่งตัดพร้อมกันเมื่ออาทิตย์ก่อนจิกลงไปในผิวจนผมรู้สึกได้ แต่มันไม่เจ็บปวดเท่าสีหน้าของคนตรงหน้าผมเลย ให้ตายเถอะ “ต้องทำยังไง บอกสิมาร์ค จะให้ทำยังไง?”


               ถ้าทำได้ ผมจะกลับเข้าครัว ไปทำข้าวต้มให้ขัดใจมัน หรือไม่ก็โทรสั่งเดลิเวอรี่เสียตั้งแต่เมื่อกี้ เราจะได้ไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมไม่ชอบจริงๆ ไม่ชอบที่บรรยากาศระหว่างเรามันจะอึดอัด ไม่ชอบที่ตัวเองไม่สามารถเลือกอะไรได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ และที่ไม่ชอบยิ่งกว่าอะไร.. คือสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้เต็มทีของคนที่นอนอยู่ตรงหน้า
     
               “...ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
               เสียงที่ตอบกลับไปนั่นเบาจนผมยังแปลกใจตัวเอง มือข้างที่ว่างลูบผมที่ยังชื้นนิดๆ ผมเพิ่งสระให้เมื่อกี้ แต่คงยังไม่ได้เช็ดให้ ลืมไปเลย “เราเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้เหรอวะ?”        
               การส่ายหน้าปฏิเสธของคนตรงหน้าทำเอาผมต้องหลับตา กัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาจากข้างใน
               
               ไม่.. ไม่ได้
               ไม่ได้จริงๆ..

               เสียงเรียกชื่อเบาๆทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แจ็คสันดึงให้ผมโน้มตัวลงไปใกล้ๆ เราจูบกันอีกครั้ง ความรู้สึกที่สับสนยุ่งเหยิงของเราทำให้ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะทำให้มันลึกซึ้งยาวนานเหมือนการจูบครั้งอื่นๆ

               “..มันเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้วมาร์ค” เสียงกระซิบย้ำบนปากผมดังชัดเจน ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองตาอีกคน ได้แต่บังคับให้มันปิดนิ่งลงมาเหมือนเดิม
               “ไม่อยากแบ่งมาร์คให้ใครแล้ว”

               ..ตลกแล้วแจ็คสันหวัง ผมเคยเป็นของใครรึไง? ไม่เคยเลยเถอะ
               ผมเป็นของมันตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เกิดเลยมั้ง

               เป็นของมันคนเดียวมาทั้งชีวิตนั่นแหละ



               ผมกำลังจะขยับปากจะพูดบ้าง แต่กลีบปากนุ่มที่ดูดกลืนลงมาซ้ำก็ทำให้มันเป็นไปไม่ได้

               ถามว่าผมอยากให้แจ็คสันเป็นของผมไหม? อยากสิ ทำไมจะไม่อยาก แจ็คสันหวังที่เป็นของผมคนเดียวน่ะมีค่ากว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตอีก แต่เพราะเหตุนั้น ผมเลยไม่กล้าแม้แต่จะเลือก ต่อให้มันจะเอนเอียงจนแทบจะหล่นใส่มือผมอยู่แล้วแต่ผมไม่กล้าแม้แต่จะคว้าเอาไว้
               
               “ถ้าวันหนึ่ง..”
               ผมพึมพำเมื่อริมฝีปากมีอิสระได้อีกครั้ง ลังเลมากว่าจะพูดดีไหม แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะลืมตาขึ้น สูดหายใจเข้าลึก “..ถ้าวันหนึ่งไม่คิดแบบนั้นแล้ว จะทำยังไง?”
     
               เหมือนถามตัวเองมากกว่า..
               ใช่.. ถ้าวันหนึ่งไม่มีแจ็คสันหวังที่อยากจะเป็นของผมแล้ว ผมจะทำยังไง? ผมจะมีชีวิตยังไง? ผมจะต้องทำอะไร? ผมคิดไม่ออกจริงๆ กลัวเกินกว่าจะคิด..
               อยากจะลืมๆมันไปเสีย ทิ้งมันไว้ในซอกลึกๆของจิตใจ
     
               แต่สายตาแน่วแน่จากคนข้างล่างกับแรงบีบเบาๆบนมือก็เรียกให้ผมกลับมาอีกครั้ง



     

               “ถ้าอย่างนั้น.. ก็ไปตามกลับมาสิ”
               “เป็นของมาร์คแล้วนี่ ถ้าหายก็แค่ไปเอากลับมา ยากตรงไหน?”




     
               คำตอบแบบกำปั้นทุบดินนั่นแย่มาก แต่ให้ตายเถอะ มันดันทำให้ผมโล่งใจจนหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ พร้อมกับอะไรบางอย่างชื้นๆที่ไล้ลงมาตามโครงหน้าให้คนแถวนี้ต้องมาจูบซับให้เบาๆ

               “...อารมณ์ร้อนนะ”
     
               “สบ๊าย” มันหัวเราะ พลางยักคิ้วกลับมา “ไม่ได้ครึ่งเราหรอก”
     
               ผมหลุดขำกับท่าทางมั่นใจเหลือเกินในนิสัยเสียๆของอีกฝ่าย จูบเบาๆบนปากนิ่ม กระซิบพึมพำ “กวนด้วย”
     
               “ชินแล้ว”
     
               “ปากเสียล่ะ?”
     
               “อย่าด่าว่าเตี้ยก็พอ”

               ถึงตรงนี้ขออนุญาตขำ ให้ตายเถอะ มันจะคิลมู้ดไปไหนเนี่ย? เสียงหัวเราะของเราประสานกันอยู่บนโซฟา ผมไม่คิดจะลุก พอๆกับที่แจ็คสันไม่อยากให้ผมไปไหน ดูสิ ตาคู่นั้นยังจ้องผมไม่เลิกเลย


               ผมกดจูบอีกครั้งบนแก้มขาวๆนั่น มันคงเป็นที่เดียวที่ไม่มีรอยจูบของผมอยู่ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นมันก็ซับสีแดงปลั่งได้ไม่แพ้กันเมื่อผมซุกไซ้ไปทั่ว ทั้งจูบทั้งหอมอย่างที่ไม่เคยจะทำ..แต่สารภาพว่าอยากทำมาตลอด

               “...หวงมากนะ”
               
               “ขี้หึงด้วย..”

               “..จะไหวเหรอ?”


               เพียงแค่สิ้นคำ เสียงกวนๆของคนแถวนี้ก็ตอบกลับมาทันควันแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดซ้ำ


               “ได้ทุกอย่างเลย ขอให้ทำจริงเถอะ”






หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง
     
จำไม่ได้แล้วว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน หนังฮีโร่สักเรื่องหรืออะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง
     
แต่ผมไม่เถียงเลยนะว่านั่นคือความจริง



การเป็นของผมนั่นก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งเหมือนกัน
     
ผมไม่ค่อยอยากมอบให้ใครหรอก มันหนัก มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะทำได้ เพราะนั่นคือการแบกชีวิตของผมเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
     


...แต่ผมก็อยากจะเชื่อเหลือเกิน
     
ว่าแจ็คสันมันจะทำหน้าที่นั้นได้ดีกว่าใครทั้งหมดบนโลกใบนี้




-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments