BED FRIEND : 024



024



อย่างที่ผมเคยบอก มาร์คเป็นคนนิสัยเสีย
     
ซึ่งหนึ่งในนิสัยของมาร์คที่ผมเบื่อสุดๆคือการตอบคำถามด้วยคำถาม
     
และรองลงมาคือการเล่นลิ้นกวนประสาท






               หนักว่ะ…

               ผมรู้สึกได้ถึงอะไรที่ถ่วงอยู่ตรงเอว หนักจนขยับแทบไม่ได้ แต่เมื่อคลำๆมือไปแล้วสัมผัสได้ว่าเป็นเนื้อหนังอุ่นๆของมนุษยชาติก็ถอนหายใจโล่งอก..

               เอาจริงๆผมก็ไม่ได้ชินมากมายหรอกเวลาที่มีคนมานอนกอดข้ามคืนแบบนี้ กับแฟนอย่างมากก็นอนเตียงเดียวกันแค่ในตอนที่อยากจะทำ (และขยับรัวๆ ไม่ได้นอนเฉยๆด้วย) แต่พอมันเป็นมาร์คแล้ว.. ดันรู้สึกโล่งใจ ผสมกับหมั่นไส้นิดหน่อย
               เหอะ ตอนที่ให้นอนด้วยแรกๆล่ะอิดออด ตอนนี้ดันมากอดซะดิ้นไม่ได้ ยังไงล่ะมิสเตอร์ต้วน?
     
               ผมหันไปมองหน้าขาวๆที่ไรหนวดขึ้นบางๆของคนข้างๆ หน้ามันเล็กนิดเดียวเองครับ ขนตาก็ยาวเป็นแพ.. ใต้ตาดำขนาดนี้ยังหล่อได้ น่าหมั่นไส้ชะมัด ว่าจะบีบจมูกมันให้หายใจไม่ออกเล่นอยู่เหมือนกันแหละ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วก็รู้สึกสงสารมันจนทำไม่ลง

               ...ก็นะ จินยองก็ทำตามหน้าที่ดีเหลือเกิน ขอให้จัดหนักมันก็จัดให้จริงๆ เล่นเอามาร์คเงียบไปทั้งคืน


               ว่าไงดีล่ะ.. ผมก็ไม่ได้อยากให้เราคลุมเครือไปมากกว่านี้ เลยพยายามจะทำให้มันชัดเจนเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากเท่านี้หรอกเพราะรู้ว่ายังไงมาร์คมันก็อยู่กับผมอยู่แล้วต่อให้ผมจะมีแฟนอีกกี่สิบกี่ร้อยคนก็ตาม แต่พอหลังๆนี่...ไม่รู้ว่ะ แก่แล้วมั้ง เริ่มเบื่อ เริ่มมีอารมณ์อยากปักหลักปักฐานกับใครสักคน และผมก็ไม่เห็นใครที่จะดีไปกว่ามาร์คจริงๆ
               มองมุมนี้อาจจะเหมือนผมมองมันเป็นของตาย.. ก็ใช่ ไม่เถียง แต่พูดก็พูดเถอะว่ามันเป็นของตายที่ไม่เหมือนของตายเลยสักนิด เรียกหาง่าย แต่ได้มายากชิบหาย


               เอาจริงๆเราก็อยู่ด้วยกันมานานมากนะครับ นานจนไม่รู้จะเริ่มทำให้สิ่งที่เราเป็นมันชัดเจนขึ้นมายังไงเพราะทุกอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียหมด จะขอให้มันอยู่กับผมรึก็อยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิด จะขอให้มันไม่มีใครก็ทำไปแล้วแต่ก็ยังเหมือนเดิม จะขอให้มันทำอะไรพิเศษๆให้แต่แค่เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่รู้จะพิเศษไปมากกว่านี้ได้ยังไงแล้ว

               เรามีทุกอย่างที่คนเป็นคนรักกันควรจะมีแล้วล่ะครับ
               
               ...เหลืออย่างเดียวคือ การเป็นเจ้าของ นี่แหละ

               ผมโอเคนะถ้ามาร์คจะเรียกสิ่งที่เราเป็นว่าเพื่อน ผมโอเคอีกเหมือนกันถ้ามาร์คจะไม่บอกรักผมเลยตลอดชีวิต (คือการกระทำของมันเนี่ย ชัดกว่านี้ก็บิลบอร์ดแถวไทม์แสควร์แล้วอ่ะครับ ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน) ผมไม่ต้องการอะไรเพิ่มนอกจากต้องการให้มันเป็นของผม
               อย่างที่รู้ๆกัน ผมไม่ใช้ของรวมกับใคร และของๆผมก็จะไม่ให้ใครยืม ที่ผมอยากได้คือสิ่งที่จะยืนยันว่าเราจะไม่ยุ่งกับใครอีกเลยหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่จากการสัญญาบอกห้ามเป็นปีๆแบบที่ใช้หลอกกันอยู่ทุกวัน
    
               ซึ่งถามว่ามันยอมมั้ย?
               ก็อย่างที่เห็นครับ มาร์คเล่นตัวชิบหาย หนีอยู่นั่นแหละ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหนีอะไร แต่มาร์คทำเหมือนว่า ต่อให้โลกนี้เหลือผมกับมันแค่สองคน มันก็จะเป็นโสดตลอดชีวิตแทนที่จะคบกับผมจนได้ ขนาดเมื่อคืนนั่งกดดันมันให้ตายมันก็ไม่ยอมหลุดปากออกมาง่ายๆ

               ทั้งที่ถ้ามาร์คขอให้ผมเป็นของมัน ผมก็จะทำตามแท้ๆ...






-----------------------------------------------------------------------------------------





               วันนี้ก็ขับรถไปบริษัทอย่างเคย ผมจงใจไม่ปลุกมาร์ค แถมกด snooze มือถือมันรัวๆจนเวลาเหลือแค่ฉิวเฉียดก่อนจะเรียกให้มันตื่น ช่วยไม่ได้ที่เราจะต้องเหยียบมิดอีกครั้ง
               และมาร์คก็เหมือนเคยครับ ทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มันยังคงนิ่ง ทำตัวเป็นสารถีที่ดีเหมือนเคย เพียงแต่ที่ว่าเงียบจะตายห่าอยู่แล้วกลับเงียบขึ้นไปใหญ่ อึดอัดจนไม่รู้จะทำอะไรนอกจากชวนมันคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยแก้เครียด กลายเป็นว่าผมก็หนีความจริงกับมันไปด้วยอีกคน



               มานั่งคิดดูอีกที ผมก็ไม่เข้าใจมาร์คเลยนะว่าทำไมเป็นผมไม่ได้ ทำไมวะ? หล่อน้อยไป? สูงน้อยไป? ไม่ตรงสเปคมัน? หรือเงินเดือนไม่เยอะพอ? ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
               
               “ยุนอา..” คิดไม่ออกก็ต้องถามชาวบ้าน รุ่นน้องของผมที่นั่งอยู่ถัดกันไปนี่แหละเป็นเหยื่อ “..เราคิดว่าพี่หล่อป่ะ?”
               แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เธอทำคือขมวดคิ้ว และทำหน้าเหมือนจะถามว่า ‘พี่เป็นบ้าอะไรเนี่ย’ กลับมาให้ผมก่อนจะตอบคำถาม
     
               “ก็..โอเคนะ หล่อแหละ”
               
               “แล้วถ้าเป็นเรา เราจะคบพี่มั้ย?”

               คราวนี้เธอทำหน้าเคร่งกว่าเดิมอีกครับ ตาแทบจะถลนออกมาได้จนผมต้องรีบกางมือห้าม “ถาม! ถามเฉยๆ! รู้แล้วว่าเราไม่ชอบผู้ชาย!” นี่รุ่นน้องหรือแม่วะเนี่ย ดุชิบ “แค่อยากรู้มุมมองผู้หญิงทั่วไปไง”
               ก็เข้าใจแหละครับว่าความคิดมาร์คก็คงไม่มีทางตรงกับผู้หญิงทั่วไป แต่ยังไงผมก็อยากรู้อยู่ดีว่าผมดูเป็นยังไงในสายตาคนอื่นๆ แบบที่ไม่นับพวกคู่ขาทั้งหลายที่ยืนรอคิวกันอยู่น่ะนะ
               
               “ก็..อาจจะคบมั้งพี่ พี่ก็หน้าตาดี การงานก็ดี พูดเพราะ..” เธอชมผมอยู่ก็จริงครับ แต่ไอ้เสียงถอนหายใจนั่นมันไม่ช่วยทำให้น่าเชื่อถือเลย “พี่สุภาพบุรุษมาก ใจดี… แต่..”

               “แต่…?”
           


               “พี่เปลี่ยนแฟนบ่อยอะ เป็นเรา เราคงไม่เอา คือรู้สึกเหมือนว่า..เดี๋ยวพี่ก็ทิ้งเรา”










               ประโยคนั้นเวียนอยู่ในหัวผมกระทั่งบ่าย ขนาดตอนที่สูบบุหรี่จนหัวโล่งแล้วมันก็ยังไม่หลุดออกไปไหน มาร์คจะคิดเหมือนยุนอาไหม? มันจะกลัวผมทิ้งมันเหมือนที่ยุนอากลัวรึเปล่าเลยไม่อยากคบกับผม?
               เหอะ ตลกล่ะ มาร์คเปลี่ยนแฟนบ่อยกว่าผมอีก มันจะมากลัวอะไร? ผมสิต้องกลัว

               แต่คิดไปคิดมา.. คนแรกที่เริ่มมีแฟนก่อนก็คือผมล่ะนะ และราวๆเดือนสองเดือนหลังจากที่ผมคบกับโจวมี่มาร์คก็คบกับนิโคล และหลังจากที่ผมเลิกกับโจวมี่ได้สัก 2 อาทิตย์ มาร์คก็เลิกกับนิโคลเหมือนกัน หลังจากนั้นเราก็เริ่มประวัติการคบๆเลิกๆ ผสมกับฟัดกันเองเป็นครั้งคราวไป จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ผมยังไม่เคยเจอช่วงที่ผมไม่มีแฟนพร้อมๆกับมาร์คเกินสองอาทิตย์มาก่อน
          
               ...และพอมีเอาได้ตอนนี้ ก็ดันเป็นช่วงที่อะไรๆมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว


               พอหันหน้าไปหาคนที่ยืนดูดบุหรี่มินท์ข้างๆตัวแล้วก็ได้แต่ปลง จะถามมันก็ไม่คิดว่ามันจะตอบอะไรที่อยากได้ยินแน่นอน แถมตอนที่เราหันมาสบตากัน มันก็ดันพ่นควันใส่หน้าเสียอย่างนั้น..          

               “แย่ว่ะมาร์ค…” ผมยู่ปาก ยกขาเตะก้นมันไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้ “หายใจไม่ออก”
     

               เสียงหัวเราะเบาๆนั่นชวนเตะซ้ำชะมัด ก่อนที่มันจะดึงบุหรี่ออกทั้งจากปากมันและปากผม ยื่นหน้ามาใกล้เหมือนจะแตะปากลงมา แต่ผมถอยหลังหลบเสียก่อน ให้มันได้เดินตามมา ส่วนผมก็ถอยไป หลบไปเรื่อยๆ หัวเราะคิกคักจนกระทั่งขาชนกับกำแพง ปล่อยให้สองแขนของมาร์คมันคร่อมลงมา ตามด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่นบนปากที่เจือกลิ่นช็อคโกแลตมินท์กับลิ้นร้อนที่ดันเข้ามาเข้าใน กดย้ำกวาดต้อนจนหัวโล่งไปหมด อดไม่ได้ที่จะโอบมันเข้ามาใกล้ๆและเบียดตัวเองเข้าหา ชินแล้วล่ะครับที่จะจูบกันไปสีกันไป ขนาดว่าชุดทำงานยังอยู่บนตัว แต่เราทำยังกับอยู่ในผับตอนกลางคืนเสียอย่างนั้น
               ผมคิดว่าตอนนี้มาร์คมันคงขยี้บุหรี่ลงกับกำแพงเพื่อดับแล้วล่ะ เพราะจูบของเรามันนานเกินกว่าที่จะถือค้างเอาไว้โดยที่มันไม่ไหม้มือ ผมเริ่มไม่อยากจะกลับเข้าไปทำงานรอบบ่ายต่อแล้วเมื่อตอนที่มาร์คดูดแรงๆบนปากพร้อมๆกับโยกเอวเข้ามาหาผมเหมือนตอนที่เราทำกันบนเตียง สายตาที่จ้องลงมาก็ดูเชิญชวนเป็นบ้า
     
               ...ผมโดดงานได้มั้ย? ให้ตายเถอะ


               ความเป็นเหตุเป็นผลและภาระงานเริ่มหายออกจากหัวผมในตอนที่มาร์คปล่อยบุหรี่ของเราตกลงพื้นและช้อนเข้าให้ที่ใต้สะโพก ยกมันขึ้นก่อนจะเริ่มโยกเข้ามาอีกครั้งแม้ว่าสิ่งที่มันเสียดสีอยู่จะเป็นกางเกงแสลคกับยีนส์ก็ตาม ลมหายใจที่มีอยู่เริ่มจะขัดๆ อยากจะให้มันทำขึ้นมาจริงๆอยู่เหมือนกัน ติดอยู่ที่เวลาพักของเราใกล้จะหมดเต็มที
               “มะ..มาร์ค…”
               ผมบีบเบาๆที่หลังคอเหมือนจะเรียกให้คนแถวนี้ได้สติ ก่อนจะต้องอ้าปากครวญเมื่อมันพรมจูบลงมาที่ต้นคอและดันเอวผมเข้ากับผนัง บดคลึงสะโพกไปมาจนสติกระเจิง ให้ตายสิคุณ นี่ขนาดเสื้อผ้าเรายังอยู่ครบชิ้นมาร์คมันยังกามขนาดนี้ ถ้าถอดเนี่ยมันไม่ทำจนตึกสะเทือนเลยเรอะ?
     
               “อื้อออ.. อะ..อ่ะ..”
     
               การขยับแบบโคตรจะทะลึ่งของมาร์คบวกกับความบางของแสลคที่ผมใส่ทำเอาขนลุกซู่ สารภาพว่าตอนนี้ถ้ามันจะชวนผมเอ้าท์ดอร์บนดาดฟ้านี่ก็จะไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ตวัดขากอดเอวมันแน่น ปล่อยให้ตัวเองโดนขยับโยก หลังไถกับกำแพงขึ้นๆลงๆ ครางเสียงสั่นอยู่กับซอกคอมันอยู่แบบนั้น ถึงมันจะเป็นสัมผัสครึ่งๆกลางๆ แต่มันรู้สึกดีมากจริงๆให้ตายเถอะ

               “...อีก?”
               
               “อะไรนะ..?”
               ผมถามย้ำอีกครั้งเพราะเมื่อกี้ได้ยินแค่ปลายประโยค ไม่เข้าใจสิ่งที่มันพยายามพูด
     
               “..ยังคบ...ผู้หญิงได้อยู่อีก?..”

               ผมไม่รู้ว่ามันไปเอาคำถามนี้มาจากไหน แต่ทันทีที่มาร์คถามจบ แรงขยำตรงสะโพกก็เพิ่มขึ้น พอๆกับอะไรบางอย่างที่ดันกางเกงยีนส์สีซีดจนพองนูนผิดปกตินั่นเบียดเข้ามาเสียชิดจนต้องสูดปาก “ฮื่อออ.. ใคร ใครคบ?”
     
               “ใครล่ะ?” มาร์คพึมพำเสียงต่ำในลำคอ “..ขอเด็กในแผนกคบไม่ใช่รึไง?”
     
               


               ผมนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมาจนตัวโยน ซึ่งมันก็คงดังมากจนมาร์คมันแปลกใจ มือผละออกจากสะโพกผมเหมือนจะวางลง ซึ่งผมไม่ยอมหรอก ยิ่งรัดมันแน่นมากขึ้นทั้งขาทั้งแขน หัวเราะอยู่กับไหล่มันจนน้ำตาแทบจะเล็ด
               
               “ใครบอกมาร์ค..?”
               “...เด็กในแผนก” เสียงต่ำๆนั่นพึมพำ มาร์คเลิกขยับแล้วล่ะครับตอนนี้ เหมือนแค่อุ้มผมไว้เฉยๆ “..อยากมีแฟนแล้วว่างั้น?”

               ผมไม่ตอบ มือละจากตรงต้นคอขาวนั่น ลูบลากลงมาข้างล่างก่อนจะล้วงเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวหนา เกี่ยวขอบมันขึ้นสูงจนหน้าท้องเป็นคลื่นสวยนั่นเผยให้เห็น บีบขยำอย่างเพลินมือแม้ว่าไอ้คนตรงหน้าจะพยายามสืบหาคำตอบด้วยการกัดฟัดอยู่แถวๆต้นคอ ตอนนี้มันคงจะเป็นรอยไปหมดแล้วมั้ง

               “แจ็คสัน…”
               
               “อะไร?” ผมยกยิ้ม อยากจะลองเล่นตัวไม่ตอบแบบมันบ้าง จะได้รู้ซะมั่งว่ามันลำบากแค่ไหน “..อยากรู้ไปทำไม?”
               
               “แจ็คสัน!!”

               อา.. มันสนุกอย่างนี้เองเหรอมาร์ค? เวลาเห็นอีกคนงุ่นง่านเพราะอยากจะได้คำตอบเนี่ย.. ให้ตาย ผมชอบสายตามาร์คตอนนี้ชะมัด อดไม่ได้เลยจริงๆที่จะลูบเบาๆข้างแก้มขาวนั่น จ้องตาคู่สวยที่เครียดขมึงนั่นด้วยความรู้สึกที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ฉีกยิ้มกว้างๆกลับไปให้มันแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจะยิ้มกลับมาแน่ๆ

               น่ารักจริงๆเลย..


               “..ว่า?”
               ผมยังคงยียวน เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เพิ่มความกวนประสาทให้มากขึ้นไปอีก “..อยากรู้ทำไม? จะทำบ้างเหรอ?”
     
               เสียงฮึดฮัดของอีกฝ่ายทำให้ผมขยับยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ยันตัวขึ้นนิดๆจนหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน ลมหายใจร้อนๆที่ขาดห้วงของคนตรงหน้า..ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์จากข้างล่างหรือความโมโหก็ช่าง มันกระทบกับแก้มผมในขณะที่เอียงหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหูขาว งับหยอกเบาๆอยู่ตรงต่างหูยาวๆ
     
               “..ไม่อยากให้ทำ?”
     
               เสียงพึมพำเบาๆที่แทบจะเป็นเสียงกระซิบนั่นลอดออกมาจากไรฟัน ไม่ดังหรอก แต่ผมได้ยินชัดโคตรๆ  “..ไม่”
     
               “เอาแต่ใจนะ..” ผมหัวเราะเบาๆ แน่นอนล่ะว่ามาร์คมันต้องทำหน้าตาเหมือนอยากจะฟัดผมให้ตายคามืออยู่ตอนนี้แน่ๆ ตอนนี้มันรวบเอวผมแน่นจนแอบเจ็บแล้วเนี่ย

               
               “ถ้าไม่อยาก..”
               ผมละมือจากหน้าท้องแกร่ง ก่อนจะแตะหมับเข้าให้ที่ส่วนร้อนแข็งใต้กางเกง นิ้วควานหาซิปอย่างเชื่องช้าก่อนจะดึงรูดมันลงจนสุด

               “...ก็มาทำให้เป็นของมาร์คสิ”





               หลังจากนั้นก็เริ่มจะจำไม่ได้แล้วล่ะครับว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้แต่ว่ากว่าเราจะได้กลับลงไปข้างล่างก็ตอนที่อาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้าแล้ว ข้าวของอะไรที่ทิ้งไว้ในออฟฟิสได้ก็คือทิ้ง ยังไงพรุ่งนี้เราก็ต้องกลับมาทำงานอยู่แล้ว แค่เพียงกุญแจรถกับกุญแจห้องเท่านั้นที่เราจะใช้
               
               เพราะสุดท้าย ทั้งคืนนั้นเราก็ใช้เวลาอยู่บนเตียงยันสว่างอยู่ดี


               ...แต่อย่าว่าเราเลยครับ แค่เราอดทนไม่ขย่มกันในรถได้ก็เก่งจะตายแล้ว








อย่างที่ผมเคยบอก มาร์คเป็นคนนิสัยเสีย
     
ซึ่งหนึ่งในนิสัยของมาร์คที่ผมเบื่อสุดๆคือการตอบคำถามด้วยคำถาม
     
และรองลงมาคือการเล่นลิ้นกวนประสาท


แต่ให้ตายเถอะคุณ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว
     
การเป็นคนนิสัยเสียมันสนุกอย่างนี้นี่เอง
     
และถ้ามันจะทำให้มาร์คพูดสิ่งที่คิดไว้ออกมาได้...จะผิดไหมถ้าผมอยากจะทำมันบ่อยๆ?




-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments