BED FRIEND : 023



023


ผมชินกับการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์
     
ถ้าผิด เรายังกด ctrl + Z เพื่อย้อนกลับได้ และผมก็อยากจะให้ชีวิตผมมีปุ่มแบบนั้นบ้าง
     
ซึ่งความจริงแล้ว เราต่างรู้ว่ามันไม่มี





               การกินข้าว..และเหล้ากับนักเขียนนิยายชื่อดังนี่เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอึดอัด
     
               คือก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกันนะครับ ผมกับจินยองก็รู้จักกันตั้งแต่ตอนมหาวิทยาลัยเพราะตอนนั้นแจบอมมันก็คบกับจินยองอยู่ตั้งแต่ปี 1 เรียนด้วยกันกินข้าวด้วยกันก็ค่อนข้างจะบ่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การนั่งร่วมโต๊ะกับจินยองเป็นเรื่องน่าอึดอัดคือ..
               
               ‘การพูด’ ของจินยองนี่แหละ
     
               จินยองเป็นพวกอ่านหนังสือเยอะ ตามประสาคนเรียนอักษรและเป็นนักเขียน และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวชอบมีคำศัพท์ยากๆ หรือมีรูปประโยคในการพูดที่ลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ ถึงผมจะไม่ใช่คนเกาหลี 100% แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ว่า ทุกคำพูดของจินยองมันต้องแฝงอะไรบางอย่างอยู่

               เช่นการทักว่า “มาร์คเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวแล้วเหรอ?” พร้อมกับมองยิ้มๆมาที่เสื้อนอก (ซึ่งเป็นของแจ็คสันอีกที) ที่ผมสวมอยู่เมื่อกี้.. ก็ไม่ได้มีความหมายแค่แปลกใจแน่ๆ ผมเชื่อแบบนั้น
               “อ๋อ นั่นเสื้อฉันเอง” แล้วไอ้คนตามใครไม่ทันแถวนี้ก็เฉลยให้เขาฟังด้วยนะ.. “ให้มาร์คยืมไง ดูมันแต่งตัวดิ”
     
               แน่ล่ะ จินยองกับแจบอมมันก็แค่หัวเราะ แต่สายตาของจินยองที่มองมาแบบล้อๆนั่นก็ไม่หยุดจริงๆ
               เรื่องที่แจ็คสันไม่ให้ใครยืมข้าวของนั่นทุกคนรู้ แต่คนที่ใส่ใจและหยิบมาเป็นประเด็นแซะกันน่ะ มีแค่ไอ้นักเขียนคนนี้แหละ


               ผมปล่อยให้แจ็คสันมันจัดการเรื่องอาหารไป ผมกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นเลยไม่ขอออกความเห็นในเรื่องเมนู รอจนกระทั่งบรรดาแอลกอฮอล์ที่สั่งมาถึงโต๊ะถึงได้ฤกษ์ขยับตัวขึ้น เราไม่ได้สั่งอะไรหนักๆหรอกครับ แค่โซจูห้าหกขวดย่อมๆพอให้กินข้าวคล่องเท่านั้น พรุ่งนี้เรายังต้องทำงานกัน จะมีก็แต่นักเขียนฟรีแลนซ์ที่ไม่ต้องเข้าบริษัทแถวนี้เท่านั้นแหละครับที่ไม่เข้าใจ และรินมาให้ผมเสียจนจะล้นแก้ว
               “เฮ้ยๆ จินยอง เบาหน่อย” แจ็คสันที่นั่งอยู่ข้างๆผมพูดกลั้วหัวเราะ ซึ่งมันเองก็โดนล้นแก้วพอๆกันนี่แหละ “มาร์คมันขับรถมาให้นะ เดี๋ยวกลับไม่ได้จะทำไง”
               “อ้าว นี่มาด้วยกัน?” ไอ้แจบอมหันมาเลิกคิ้วใส่งงๆ “นี่อย่าบอกนะว่ายังเป็นรูมเมทกันอยู่?”
               แน่นอนว่าเราก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาตาตี่ๆนั่นเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “เดี๋ยวนะ.. ผู้ชายอายุ 25 ที่ไหนเขาเป็นรูมเมทกันอยู่วะ?”
     
               ...ก็ผู้ชายอายุ 25 แถวนี้ล่ะวะ สองคนด้วย พูดเลย

     
               “แยกกันได้แล้วม้าง” ไอ้แจบอมยังไม่เลิกที่จะคุยประเด็นนี้ ส่วนผมก็เลือกที่ปล่อยผ่านไปซะ ไม่รู้จะตอบอะไร คิดว่าแจ็คสันก็คงจะเหมือนกันแหละ มันถึงได้แค่ยักไหล่แล้วรินโซจูให้จินยองคืนบ้าง ล้นๆปริ่มๆเท่าที่มันรินให้เราเป๊ะๆ
               
               “เอาน่าบี สองคนนี้แยกกันได้ที่ไหน”
               นักเขียนชื่อดังตรงหน้าผมตบบ่าแฟนมันเบาๆด้วยมือที่มีแหวนวงเล็กๆเกี่ยวอยู่ตรงนิ้วนาง ซึ่งก็เพราะการแต่งงานของพวกแม่งสองคนนี่แหละทำให้ผมต้องระเห็จตัวเองไปมัลดีฟกับคนแถวนี้ “ก็เป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วยังไม่ชินอีก?”
               “โถ่จีน ถ้ามันเป็นแฟนกันเราจะไม่ว่าเลยนะ นี่เพื่อนกันป่ะ” แจบอมส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวนิดๆปล่อยให้บริกรได้วางอาหารที่สั่งบนโต๊ะของเรา “มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”

               ก็ไม่เถียงหรอกครับว่าแปลก..
     
               แต่แปลกแล้วยังไงล่ะ? ต่อให้ผิดปกติยังไงเราก็แยกกันไม่ได้อยู่ดี ใช่ว่าไม่เคยลองกันเสียหน่อย คุณคิดเหรอว่าที่เราเปลี่ยนแฟนกันรวมๆแล้วเกือบจะร้อยคนแต่สุดท้ายก็ไม่ปักหลักกับใครแค่เพียงเพราะว่าเราเป็นเพลย์บอย? ไม่ใช่หรอก
               
               เราแค่ขาดกันกันไม่ได้
               รักเหรอ? ไม่รู้หรอก ใช่หรือไม่ใช่ก็ช่าง แต่เราจำเป็นจะต้องมีอีกคนเสมอ

     

               “ก็ไม่แปลกหรอกบี..” จินยองแค่ยิ้ม ผมล่ะรู้สึกไม่ไว้ใจสายตาที่มีแววรู้ทันของอีกฝ่ายเลยจริงๆ
               “ความสัมพันธ์มันก็แล้วแต่ว่าเจ้าตัวเขาจะกำหนดมันยังไง ไม่ได้ตายตัวหรอกว่าต้องเป็นแบบไหน”
                แก้วโซจูปริ่มๆถูกยกขึ้นจิบทีเดียวครึ่งแก้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจินยองกินเหล้าเก่ง
               
     
               “แต่ความสัมพันธ์น่ะ มันมีไว้เพื่อความชัดเจน ไม่ได้เพื่อความคลุมเครือหรอกนะ”


               ..แล้วก็แซะเก่งด้วยนะ ให้ตายสิ





-----------------------------------------------------------------------------------------





               ผมขับรถกลับบ้านตอนราวๆสี่ทุ่ม แน่นอนล่ะว่าจินยองกลับไปพร้อมแฟน..หรือผมควรเรียกว่าคู่แต่งงานของมันดี เอาเป็นว่ามันกลับพร้อมแจบอม ส่วนผมก็มีร่างปวกเปียกของแจ็คสันนั่งอยู่ตรงเบาะข้างๆเป็นของฝากจากร้านอาหาร
               แน่ล่ะว่าเพราะผมขับรถ เลยลิมิตตัวเองไว้ที่ 1 ขวด แจบอมเองก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น 4 ขวดที่สั่งมาเกินนั่นก็ปล่อยแจ็คสันกับจินยองแบ่งกันดื่ม แทบจะต้องหามออกจากร้านเลยเหอะ
     
               ทั้งที่ถ้ากินไม่ไหวจะทิ้งไว้อย่างนั้นก็ได้ คิดอะไรของมันอยู่ก็ไม่รู้

               “ฮื่อ…” มันปัดมือผมทิ้งอย่างรำคาญตอนที่เอื้อมไปปรับเบาะลงให้ขณะติดไฟแดง ดิ้นพราดๆเหมือนกับจะโดนข่มขืน แม่งเกะกะเป็นบ้า “ไม่กวนนนน จะนอนนนนน”
               “จะปรับเบาะให้ อยู่นิ่งๆ” ผมบอกเสียงดุ โชคดีที่มันน่าจะยังพอเหลือสติบ้างถึงได้นิ่ง ปล่อยให้ผมเอนเบาะมันลงตามที่บอกจนแทบจะแตะ 180 องศา ดูมันสิ เอนหลังนอนเหยียดยาวสบายเชียว
     
               ไฟเขียวพอดี ผมออกรถอีกครั้ง โชคดีที่ซื้อรถยุโรปและรถผมไม่เคยมีผู้โดยสารมากนักทำให้มีพื้นที่เยอะหน่อย แจ็คสันมันจะกลิ้งซ้ายกลิ้งขวาหรือนอนตะแคงบ้าบออะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่มันไม่เตะเกียร์เท่านั้นผมโอเคทั้งหมด จะหนวกหูหน่อยก็เสียงงึมงำในลำคอของมันที่ฟังไม่ได้ศัพท์นี่แหละ
     
               “..มาร์ค” ผมจับเสียงที่เรียกชื่อตัวเองได้คำหนึ่ง แต่หลังจากนั้นคือภาษาต่างดาวที่อู้อี้ในลำคอ “..แม่ง..มาร์ค…”
               “อะไร? มีอะไร?”
               “มาร์คคคคคคคค”
     
               ผมว่าผมน่าจะเคยชินกับเหตุการณ์นี้ ตอนนั้นที่เรากระดก B52 กันรัวๆจนเมาเละมันก็แบบนี้ เรียกชื่อผมติดๆกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าต้องการอะไร
               แต่พูดตรงๆ.. ผมไม่ได้เกลียดหรอกที่มันเรียกชื่อผม

               “มาร์ค…”
               อีกครั้งกับเสียงอู้อี้ ผมนึกว่ามันละเมอเลยไม่ได้ตอบ แต่คราวนี้เหมือนจะไม่ใช่ เพราะมันโวยวายตบเบาะใหญ่ที่ผมไม่ยอมขานรับจนต้องถามกลับไปว่ามีอะไรให้มันเลิกทำเสียที “..ที่..จินยองพูดอ่ะ..”
               “..เราแปลก..อึ่ก.. มากป่ะวะ?”
     
               เสียงสะอึกเบาๆตามประสาคนเมาไม่ได้เข้ากับคำถามจริงจังเลยให้ตาย แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่แปลกใจหรอก ถึงแม้แจ็คสันมันจะทำตัวร่าเริงและเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นหลังจากที่จินยองพูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร แต่ลึกๆแล้วก็พอจะรู้ว่ามันคิดมากกว่าใคร กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ
     
               “ทำไม?” ผมถามกลับ ทั้งที่รู้ว่ามันเมา และแทบไม่มีสติในการสนทนา แต่ผมก็เลือกที่จะเอาเปรียบมันโดยการสานต่อประเด็นจริงจังนั่น อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะคิดยังไง “คิดมากทำไม?”
               “มาร์คแม่ง.. ตอบคำถามด้วยคำถามอีกแล้ว..”
               “ขอโทษ..”
               “ตอบมาสิ แปลกมากมั้ย?”

               ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามันถามไปทำไม.. ต้องแคร์ด้วยรึไงถ้าเราจะแปลก “..แปลก แต่ไม่ได้แย่ ไม่ได้เกลียดที่แปลก”
               ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆ เริ่มคิดแล้วว่ามันเมาจริงหรือแกล้งเมา หรือสองอย่างผสมกัน
     
               แต่คำพูดของจินยองก็...อย่างเคย จิกกัดได้เจ็บแสบและความหมายกินลึก แจ็คสันมันอาจจะคิดมากแค่คำว่า ‘แปลก’ แต่ผมไม่สนใจตรงนั้นหรอก ที่ผมสนใจคือประโยคหลังนั่นมากกว่า..

               ใช่ ผมกำลังทำให้ทุกอย่างคลุมเครือ
               แต่การทำให้ชัดเจน นั่นหมายถึงจุดจบเองก็ชัดเจนเหมือนกัน

               การอยู่อย่างที่เราเป็นไม่ใช่เรื่องตลกเลย เลือกได้ก็ไม่อยากจะอยู่เหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ล่ะ แจ็คสันหวังดันมีคนเดียวบนโลก ถ้ามีสัก 3 คนผมจะไม่เครียดเลย ผมจะขอมันเป็นแฟนตั้งแต่ประถมเลยก็ได้ ถ้าเราเลิกกันจะได้มีเวลาเหลือพอไปเจอคนที่สอง หรือถ้าเรายังไปด้วยกันไม่รอด ผมยังเหลืออีกคนที่คอยพยุงชีวิตแหลกๆของผมไปถึงวันสุดท้าย…
               ฟังดูเห็นแก่ตัวสุดๆ ใช่ ผมไม่เถียงแม้แต่ครึ่งคำเลยถ้าคุณจะด่าผมแบบนั้น


               “มาร์ค..” นึกว่ามันหลับไปแล้วนะนั่น ยังอีกเหรอวะ?
               “ว่า?”
               “...เราเพื่อนกันจริงป่ะวะ?”
     
               ผมสูดหายใจลึกกับคำถาม เราไม่เคยถามกันแบบนี้เลยนะ.. “เพื่อนสิ จะให้เป็นอะไรล่ะ?”
               “ก็เพื่อนคนอื่น.. ไม่ทำแบบนี้” เสียงอู้อี้หนักกว่าเดิม ที่ผมเพิ่งรู้ว่าเกิดขึ้นเพราะมันนอนตะแคงเอาหน้าไถเบาะไปกว่าครึ่งถามทั้งๆที่ตายังไม่ลืม “กับแจบอม กับจินยองก็ไม่ทำ.. พี่แทคยอนก็ไม่ทำ กับไอ้ยูคยอมก็ไม่เคยทำ..”
     
               “...งั้นก็เพื่อนสนิท”
               “เพื่อนสนิทก็ไม่ได้ทำขนาดนี้.. หรือมาร์คทำ?”
     
               ...ผมว่ามันไม่ได้เมาแล้วล่ะ ขนาดนี้ “ไม่.. ไม่เคยทำ”


               ผมนวดขมับเบาๆไปกับประเด็นที่ชวนปวดหัวยามค่ำคืน ทำไมเราต้องมานั่งถกประเด็นนี้กันเอาตอนนี้ด้วยวะ หรือว่าเป็นผลกรรมของการที่เราไม่ทำให้มันชัดเจนไปตั้งแต่แรก? แต่ให้ตายเถอะ เมาตั้งกี่รอบไม่เคยถาม ต้องมาถามเอาตอนที่แบ่งสติไปขับรถด้วยเนี่ย เพื่ออะไรวะ?
               
               “แต่ความสัมพันธ์...มันแล้วแต่ว่าเราจะกำหนดยังไงไม่ใช่เหรอ?” ผมทวนประโยคของจินยองที่พูดไว้ในร้านอาหาร “เราจะเป็นเพื่อนกันแบบไหนก็เรื่องของเรา คนอื่นจะเป็นเพื่อนแบบไหนก็ของคนอื่น.. ไม่เกี่ยวกันไง”
               ตลกดีที่ผมต้องมาคุยเรื่องอะไรแบบนี้ในโทนเสียงเหมือนกำลังหลอกล่อเด็ก ผมภาวนาเหลือเกินให้แจ็คสันมันคล้อยตาม ถึงเหตุผลที่ผมให้มันแสนจะกำปั้นทุบดิน แต่ถ้าไม่ใช้เหตุผลนี้ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาสนับสนุนสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้

               “เพื่อนแบบเราเนี่ย.. จูบได้ป่ะ”
               “ได้สิ..” มากกว่าจูบก็ทำมาแล้วไม่ใช่รึไง มาทำเป็นถาม “ตั้งแต่ปากแตะเฉยๆยันเฟรนช์คิสเลยเอ้า”
     
               เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของเราทั้งคู่ทำให้มวลอากาศหนักๆที่เคยปกคลุมเบาลงเล็กน้อย ผมได้ยินเสียงแจ็คสันขยับตัวนิดหน่อย มันคงหายใจไม่สะดวกมั้งนอนแบบนั้น
               
               “นอนด้วยทุกวันได้เปล่า?”
               “โอเค..”
               “มอร์นิ่งคิสกับกู้ดไนท์คิส?”
               อันนี้คิดหนักแฮะ… แต่ไหนๆก็อนุญาตให้มันจูบแล้วนี่ ห้ามตอนนี้ก็ลักลั่นย้อนแย้ง “..ตามสบาย”

               หลังจากนั้นเหมือนจะเป็นการถามตอบ ทบทวนสิ่งที่เราเคยทำด้วยกันมาตลอดชีวิตไปเพลินๆ ทั้งไปเที่ยว นอนตัก เซ็กส์ ยืมเสื้อ หรือแม้แต่ขโมยไลท์เตอร์กันและกันมาใช้ ส่วนมากจะเป็นคนเมากว่านั่นแหละที่ถาม ตอนนี้ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเมา เสียงหัวเราะนั่นสดใสจนผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันกำลังไม่มีสติ
               จวบจนผมเลี้ยวรถเข้าไปใต้คอนโดของเรา แจ็คสันมันถึงได้ขยับยันตัวขึ้นนั่ง ผมคิดว่ามันคงเตรียมตัวจะลงไป แต่จนแล้วจนรอด แม้ว่าผมจะดับเครื่องยนต์ไปแล้ว เสียงเปิดประตูก็ไม่มีทีท่าว่าจะดังขึ้นเสียทีจนต้องหันไปมอง

               “แจ็ค…”
               รูมเมทที่นั่งหลังตรง ตาจ้องนิ่งมายังผมทำเอาพูดอะไรต่อไม่ออก บรรยากาศที่เพิ่งผ่อนคลายลงเมื่อครู่ขมวดตัวเข้าหากันอีกครั้ง
               “..ถ้าทำได้ขนาดนั้น” แสงไฟลิบๆที่สาดมาเพียงแค่บางช่วงอนุญาตให้ผมเห็นแต่เพียงเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “..อะไรที่ทำไม่ได้?”
               แววตามุ่งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างคนที่จริงจังกับทุกอย่างมีเงาสะท้อนของผมอยู่ข้างใน      
              

               ใช่ ในทางอารมณ์ แจ็คสันเข้มแข็ง ซื่อตรง และมั่นคงกว่าผมร้อยเท่า
              
               ผมรู้ ว่ามันอยากจะทำให้ทุกอย่างชัดเจน และต่อให้วันนี้บ่ายเบี่ยงแค่ไหนมันก็คงไม่ยอมทำตามแน่ๆ ดูได้จากการที่มันจับแขนล็อคข้อมือผมไว้ซะแน่นขนาดนี้ ถ้าวันนี้ไม่ได้คำตอบ มันคงไม่ยอมปล่อย

               “ตอบสิวะมาร์ค”
               “อะไรที่ ‘เพื่อน’ อย่างเราทำไม่ได้?”
     
               จริงๆผมน่าจะดื่มๆไปซะนะ ซัก 3 ขวดก็น่าจะดี ถ้าผมไม่มีสติ ผมอาจจะไม่ต้องมาตอบคำถามแบบนี้ ไม่ต้องมาคิดมากแบบนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

               ‘แต่ความสัมพันธ์น่ะ มันมีไว้เพื่อความชัดเจน ไม่ได้เพื่อความคลุมเครือหรอกนะ’

               เสียงจินยองยังคงหลอนอยู่ในหัวผม ทั้งกดดัน ทั้งผลักดันให้อยากและไม่อยากพูดไปพร้อมๆกัน

               “ที่ทำไม่ได้...” ผมหลับตา สูดหายใจลึกเหมือนเรียกความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเอง “มีแค่สามอย่าง..”

               “มีแฟน..”

               “วันไนท์แสตนด์”


               “มี ‘เพื่อน’ คนอื่น”





ผมชินกับการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์
     
ถ้าผิด เรายังกด ctrl + Z เพื่อย้อนกลับได้ และผมก็อยากจะให้ชีวิตผมมีปุ่มแบบนั้นบ้าง
     
ซึ่งความจริงแล้ว เราต่างรู้ว่ามันไม่มี



ชีวิตมันก็แค่เกมห่วยๆที่ไม่มีจุดเซฟ แผนที่ หรือปุ่มย้อนกลับให้กด
     
การที่ผมจะรู้สึกกลัวเวลาที่ต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญแบบนี้จนไม่กล้ากด start
     
มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอครับ?




-----------------------------------------------------------------------------------------


Comments