BED FRIEND : 022



022


เคยมีรหัส หรือโค้ดลับอะไรสักอย่างไหมครับ?
     
แบบที่ว่า เป็นคำพิเศษ ที่มีความหมายต่างออกไป รู้กันแค่วงใน หรือกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น
     
ผมว่ามันต้องดูคูลมากๆแน่เลย ว่าไหม?




               คุณ ผมมีปัญหา
               
               ...ช่วงนี้มาร์คแม่งน่ารักเกินไป
     

               น่ารักที่ว่าไม่ใช่ว่ามันลุกขึ้นมากรี๊ดเฮลโหลคิตตี้หรือใส่ชุดเอลซ่า แต่เป็นความน่ารักแบบมาร์คๆ (?) ที่คุณอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าผมขอยืนยันว่ามันกำลังเป็นปัญหากับผม โดยเฉพาะกับใจนี่แหละ
          
               “เอ้า..”
     
               ส้มที่ถูกแกะเปลือกและแบ่งกลีบเลาะใยออกเรียบร้อยยื่นมาถึงปาก แน่นอนว่าผมไม่ลังเลเลยที่งับมันเข้ามา ตาก็มองทีวี หัวพาดอยู่กับขามาร์ค สบายกว่านี้ก็ไม่มีแล้ว
               สาบานได้ว่าแต่แม่ผมยังไม่ทำให้ขนาดนี้ นี่มาร์คมันกะขุนให้ผมอ้วนเป็นหมีเลยมั้ง ให้นอนกินอย่างเดียวเนี่ย


               “อยู่กับแฟนทำขนาดนี้มั้ยเนี่ย?” ผมถามหลังจากกลืนส้มชิ้นนั้นลงคอด้วยความเร็วแสง เงยหน้าขึ้นมองหมอนจำเป็นที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ก่อนที่มันจะส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ
               “ยังไม่เคย ว่าจะลองอยู่ โดนสั่งห้ามก่อน”
               ผมหัวเราะกับคำตอบนั้น มือก็กดรีโมทเลื่อนไปหาอะไรดูเพลินๆ เวลาประมาณนี้ก็ดันมีแต่ซีรีย์ส์ โชคดีที่แมทช์ฟุตบอลยังมีถ่ายทอดสดอยู่บ้างในช่องต่างประเทศ ผมเลยเลือกที่จะหยุดดู ปล่อยมาร์คมันป้อนส้มผมไปเรื่อยๆจนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้



               พอหมดภารกิจแกะส้ม มาร์คมันก็เอนตัวลงนิดๆเพื่อจะนอนพิงหลังกับโซฟา ผมเองก็คนดีอ่ะครับ นอนอยู่ที่เดิมนี่แหละ ใครแคร์ แค่ขยับหัวขึ้นมาพาดตรงต้นขามันให้นอนสบายๆขึ้นมาหน่อย ปล่อยมาร์คมันดูบอลไป มือลูบหัวผมเล่นไปเพลินๆ รู้สึกเหมือนเป็นหมาแมวชอบกล แต่มันก็รู้สึกดีมากจนไม่อยากจะบ่นอะไร ออกจะเคลิ้มๆจะหลับด้วยซ้ำไปเวลาที่มันลูบสางเล่นเบาๆแบบนั้น
               “ฮื่อออ ไม่ใช่แมวว” ผมงึมงำเมื่อนิ้วผอมๆนั่นมาเกาคางกันเสียอย่างนั้น มาร์คหัวเราะคิกคัก แต่มือยังไม่เลิกลูบตรงคอผมเล่น ไม่รู้ทำไมเราถึงชอบตรงนี้กันนัก ผมเองก็ชอบหลังคอมาร์คนะ มาร์คมันก็น่าจะชอบเหมือนกันล่ะมั้ง แต่พอผมบ่นมันก็หยุดไปแค่พักหนึ่ง ไปยุ่งกับอย่างอื่นแทน


               นี่คือหนึ่งในความน่ารักแบบมาร์คๆที่ผมเพิ่งเจอ มันวอแวกว่าที่คิดว่ะคุณ เมื่อก่อนเรานั่งคนละฝั่งโซฟาไม่เห็นจะมีอะไรแบบนี้ พอย้ายมานอนบนตักทีนี่มาหมดทุกอย่าง เดี๋ยวลูบ เดี๋ยวคลำ แล้วนั่น.. มือผมกำลังโดนคว้าไปอีกแล้ว

               มาร์คชอบเอามือผมไปกัดเล่น อ่านไม่ผิด กัด เล่น และมันก็กัดจริงๆ เหมือนลูกหมาที่ชอบแทะมือเจ้าของน่ะ มันงับเบาๆไปตามข้อนิ้ว หลังมือ อะไรก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ถ้ามันชอบผมก็ไม่ห้าม จะมีบ้างก็ตอนที่มันเผลอกัดแรงจนผมร้องประท้วง เขี้ยวมันคมใช่น้อยที่ไหน?
               “..โทษที” เสียงงึมงำขอโทษนั่นมีความจริงใจอยู่ที่ -300% ไร้ความรู้สึกจนอยากจะเบ้ปากใส่ แต่กริยาหลังจากนั้นเป็นอีกเรื่อง

              
               ความนุ่มนิ่มของริมฝีปากที่แตะลงมาทำผมสะดุ้งนิดๆ มันไม่กัดแล้วก็จริง แต่ปากนั่นจูบไปเรื่อย ตั้งแต่ปลายนิ้ว ข้อนิ้ว ไปจนสันมือ ไล่ตั้งแต่นิ้วโป้งไปยันนิ้วสุดท้าย นุ่มนวลแผ่วเบาอย่างกับขนนก แต่ทำเอาใจสั่นยิ่งกว่าอะไร ยิ่งตอนที่มันกดจูบค้างไว้ที่หลังมือ ผมยิ่งต้องซุกหน้าร้อนๆลงกับขามันเพื่อหลบสายตา


               ...ไอ้คนโรแมนติคตรงนี้มันเป็นใครวะ!? เกิดมาไม่เคยรู้จัก!





-----------------------------------------------------------------------------------------





               “อ้าว แจ็คสัน..”
     
               นิโคลทักทายผมก่อน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่ผมกับนิโคลเจอกันหลังจากตอนมัธยมต้น ผมทึ่งที่เธอจำผมได้ และเธอก็สวยขึ้นเยอะเลยจริงๆ ปกติตอนเด็กก็สวยนะ แค่แต่งตัวประหลาดไปหน่อย ดีที่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว
               “หวัดดีนิโคล” ผมทักกลับยิ้มๆ วางแก้วอเมริกาโน่ลงบนโต๊ะคนแถวนี้ ตอนนี้เกือบๆบ่ายสอง มาร์คมักจะต้องกินกาแฟช่วงนี้ตลอด ไหนๆผมก็ลงไปซื้อก็เลยหิ้วมาฝากมันด้วย “เป็นไง ทำงานกับมาร์คเหนื่อยมั้ย?”
               “ไม่หรอก งานไปไวดีนะ แต่เฮี้ยบมากเลย โดนแก้งานตลอด”
     
               ผมหัวเราะกับคำตอบของเธอในขณะที่ยกมอคค่าเย็นของตัวเองขึ้นดูด หันไปมองไอ้คนโดนนินทาระยะเผาขนข้างๆที่ยักไหล่กลับมาแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าขำๆ
               “จะมาถามว่าเย็นนี้จะไปกี่โมง แจบอมมันบอกว่าให้จองโต๊ะแล้วไลน์หา” ผมยืนเกาะพาร์ทิชั่นคุยกับมัน หันไปทางนิโคลที่กลับไปคีย์งานต่อข้างๆแล้วก็อดชวนตามมารยาทไม่ได้ “นิโคลว่างมั้ย? ไปดื่มด้วยกันสิ”
               “เอาไว้คราวหน้านะ..” แน่ล่ะ เธอโตพอที่จะรู้ว่าผมแค่ชวนเป็นพิธีถึงได้ส่ายหน้ากลับมายิ้มๆ “ว่าแต่.. เธอสองคนนี่ยังตัวติดกันเหมือนเดิมนะ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
     
               “มาร์คมันขี้เหงาน่ะ” / “แจ็คสันมันเกาะติดน่ะ”

               คำตอบพร้อมๆกันของเราทำเอานิโคลหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปทำงานต่อ มีเพียงผมกับมาร์คที่นั่งตกลงเวลากันสำหรับเย็นนี้ สรุปได้ว่าจะจองร้านอาหารแบบผับแอนด์เรสเตอรองค์ไว้ตอนทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด เราจะดึกมากก็ไม่ดี และเมื่อสรุปได้ผมก็โยนหน้าที่ให้มาร์คมันโทรไปจองเสียเลย เป็นกรรมให้มันต้องไปควานหามือถือจากบนโต๊ะขึ้นมาพัลวัน

               โต๊ะของสองคนนี้แบ่งกันคนละครึ่ง แต่ก่อนมันเคยเป็นโต๊ะยาวของมาร์คคนเดียวแหละครับ แต่เนื่องจากพื้นที่ไม่พอเลยต้องแบ่งครึ่งไปให้นิโคลด้วย ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยชินตาเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ชินแล้ว เพราะมันก็กลับมารกเหมือนเดิม ข้าวของสายไฟพันอีรุงตุงนัง มือถือ ปากกา แท็บแลตวางเกะกะไปหมด จะเพิ่มมาก็แค่แลปทอปอีกเครื่องเท่านั้น
     
               “มาร์ค นั่นมือถือฉัน”
               “อ้าว โทษที..”
               นั่นไง ไม่ทันขาดคำก็หยิบผิดแล้ว ไอโฟนรุ่นเดียวกันที่วางหงายอยู่นั่นยากจะระบุว่าของใครเป็นของใคร และยากกว่าถ้าจะเป็นของผมกับมาร์ค ดันใช้เคสคล้ายๆกันด้วยเหอะ ต่อให้วางคว่ำอยู่ก็หยิบสลับกันทุกที
     
               ความผิดมาร์คนั่นแหละที่ใช้ให้ไปหาเคสมือถือใหม่ให้แต่ดันหาไม่เจอ เลยได้อันที่เหมือนกับของมันมาให้แทน

     
               “เดี๋ยวนัดเจบีตอนทุ่มนึงละกัน เราค่อยออกตอนนั้นก็ได้”
               “เผื่อรถติดด้วยสิ หกครึ่งไม่ดีกว่าเหรอ?”
               “วันนี้ต้องเข้าประชุมพรีเซนต์งานกับนิโคลตอนสี่โมงไง ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง เธอรู้มั้ย?” มาร์คหันไปถามคนข้างๆ ซึ่งเธอก็พลิกดูโพสต์อิทที่จดลายมือยึกยือตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบ
     
               “ถ้าดูจากหัวข้อ รวมถกประเด็นก็ไม่น่าเกินหกโมงครึ่งนะ”
               “งั้นรออยู่ที่แผนกนั่นแหละ ฉันกับนิโคลออกประชุมเมื่อไหร่จะไปหา เสร็จแล้วเราค่อยออกไปพร้อมกัน” มาร์คสรุปพลางวางมือถือลงในลิ้นชัก สงสัยมันกลัวจะหยิบผิดอีก ตัวผมเองก็เตรียมจะเดินกลับแผนกอยู่แล้วเชียว ถ้าเสียงทักของนิโคลจะไม่ดังขึ้นก่อน
     
               “มาร์คยังเหมือนเดิมเลยเนาะ..”
     
               “ตั้งแต่เด็กแล้ว มาร์คไม่เคยใช้คำว่า ‘เรา’ กับใครนอกจากแจ็คสันเลย”




               นิโคลพูดถูก..

               ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนจริงๆ พอนิโคลทักขึ้นมาถึงได้รู้สึกว่ามาร์คมันใช้คำว่า ‘เรา’ ตอนที่หมายถึงผมกับมันเท่านั้น ผมไม่เคยได้ยินมันใช้ตอนพูดถึงใคร ถ้าพูดถึงจะเป็น ‘ฉันกับ…’ เสียมากกว่า นึกว่ามันจะชินแบบนี้มากกว่าเสียอีก แต่ว่าที่จริงแล้ว..ดันไม่ใช่
               มันจงใจหรือมันชินวะคุณ บอกผมที

               รู้แต่ว่าคำพูดนั้นของนิโคลทำผมสติไม่อยู่กับตัวไปทั้งบ่าย รุ่นน้องในแผนกต้องสะกิดเรียกบ่อยๆเพราะผมมัวแต่เหม่ออะไรก็ไม่รู้ แต่มันก็น่าคิดไหมล่ะ คนบ้าอะไรแม่งสละคำๆหนึ่งไว้ใช้กับผมโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเพราะอะไรแต่ผมว่ามาร์คมันจงใจ แล้วก็ไม่ได้เพิ่งมาทำ ทำมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย
               
               แม่ง...น่ารักชิบหาย!
     
               ความน่ารักแบบมาร์คๆนี่อานุภาพรุนแรงมากจริงๆครับ ถึงมันจะไม่เคยพูดถึง แต่แม่ง.. พอรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้เลยที่จะดีใจขนาดนี้ ไหนใครบอกว่ามาร์คเป็นผู้ชายทื่อๆทึ่มๆนะ มาเคลียร์กับผมตรงนี้เลย มันน่ารักกว่าที่คุณคิดหลายขุม
               แต่ไม่ได้หรอกมั้ง แค่นี้คนก็เข้าหามันเยอะจะตายห่าแล้ว ถ้ารู้ว่ามันน่ารักอีกผมก็แย่สิ.. ไม่ได้ๆ

               “พี่แจ็คเป็นไรอ่ะ?”
               “ห้ะ?” ผมหันไปหาน้องร่วมแผนกที่หันหน้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันจ้องผมอยู่ตั้งแต่ตอนไหนวะ?
               “ตั้งแต่เข้ามาละ พี่ยิ้มอะไรอยู่คนเดียวอ่ะ? ได้โบนัสเหรอ?”

               เอิ่ม.. โอเค ผมว่าผมต้องเก็บอาการบ้างแล้วล่ะ นี่ยิ้มมาตลอดเลยเหรอวะ ไม่ได้การละ





-----------------------------------------------------------------------------------------





               หกโมงยี่สิบมาร์คขึ้นมาหาผมที่แผนกตามที่สัญญาไว้ เราจะไปร้านที่ค่อนข้างจะมีระดับครับ ถือว่าจองให้สมเกียรติแก่ไอ้คุณแจบอมที่จะพาแฟนผู้เป็นนักเขียนชื่อดังมาด้วย ดังนั้นสภาพเสื้อยืดกางเกงยีนส์ของมาร์คค่อนข้างจะไม่ไหว แต่เวลาที่เราจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อก็ไม่มีแล้ว ผมจึงตัดสินใจสละเสื้อนอกของตัวเองไปให้มันใส่ พอจะดูทางการขึ้นมาได้อีกนิด ส่วนตัวเองก็เหลือแต่เสื้อเชิ้ตกับแสลค ก็ลำลองดีอยู่นะ พอไหวๆ
               ตลอดทางที่นั่งไปในรถ หัวผมยังไม่หลุดจากประเด็นเมื่อกลางวันเลย แถมพอเจ้าตัวมันมานั่งอยู่ข้างๆแบบนี้ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเนี่ย แม่งคันปากอยากแซวทุกที..

               “มาร์ค..” ผมเรียกขณะที่หรี่เสียงเพลงในรถลงจนแทบจะปิด “สรุปว่า..คำว่า ‘เรา’ นี่ยังไง?”
               สายตาคมๆที่เหลือบมาแบบดุๆนั่นตวัดฉับมาทันที กวนประสาทมาร์คนี่บันเทิงดีจริงๆเลยให้ตาย
     
               “ก็ไม่ยังไง..”
               
               “เก็บไว้ใช้กันอยู่สองคนจริงป่ะ?”
               
               “...พูดเหมือนตัวเองไม่ทำ”
               

               ผมเลิกคิ้ว จริงดิ? ผมทำเหรอวะ? ไม่เห็นรู้ตัวเลย
               เมื่อหันหน้ากลับไปมองมาร์คเหมือนจะขอคำยืนยันก็เห็นแต่ยิ้มมุมปากที่ประดับอยู่บนหน้า “ทำมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันแหละ รู้ไว้ด้วย จงใจเหรอ?”     
               บ้า.. ใครเขาจงใจกัน ไม่รู้ตัวซะหน่อย

               “เปล่านี่..”
   
               “งั้นก็เปล่าเหมือนกัน”

               ผมล่ะเกลียดความปากแข็ง..

     
               เรานั่งเงียบๆกันไปแค่ชั่วอึดใจ ก่อนที่มาร์คจะทักขึ้นมาทำลายความเงียบขณะที่รถติดไฟแดง      

               “แจ็คสัน..”
               “สรุปว่าเสื้อนี่ยังไง? ให้ยืมได้คนเดียวจริงป่ะ?”
     
               คำถามที่แพทเทิร์นเดียวกับของผมเมื่อกี้เป๊ะๆแต่น้ำเสียงยียวนกว่า 3 เท่าลอดออกมาจากปาก แม่ง.. คุณต้องมาเห็นหน้ามาร์คตอนนี้ ไอ้ยิ้มกรุ้มกริ่มนั่นโคตรกวนประสาท พอพ่วงการยักคิ้วกวนๆนั่นเข้าไปด้วยแล้ว อื้อหือ ไม่อยากจะบอกเลยว่าเท้าผมกระตุกยิกๆแค่ไหน
               อย่างที่รู้กัน ผมไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร เสื้อไม่เคยให้ใครยืมใส่ ปากกายังไม่เคยให้ใครยืมเขียน ไม่รู้เป็นบ้าอะไรเหมือนกัน แต่ถ้าใครเอาไปใช้ผมก็ยกให้ไปเลยไม่เอามาใส่ซ้ำ หรือแม้แต่ของๆคนอื่นผมก็ไม่ยืมมาใช้มาสวม มีแต่เสื้อของคนแถวนี้นี่แหละที่ยืมมาใส่นอนทุกวัน และก็เป็นมันอีกนั่นแหละที่ผมถอดเสื้อนอกให้ไปใส่ตอนนี้
     
               “ก็ไม่ยังไง..” ก้อปปี้คำตอบมันเลยก็แล้วกัน มือก็เอื้อมไปเร่งแอร์ให้แรงขึ้นอีกนิด ไม่รู้ทำไมอยู่ๆก็ร้อนขึ้นมาซะงั้น หันหน้าตัวเองออกไปมองข้างนอกแต่ก็ยังเห็นเงาคนแถวนี้ที่ยิ้มซะกว้างในกระจกอยู่ดี “เลิกยิ้มได้แล้ว..แม่ง…”
     
               “ยิ้มก็ไม่ได้? ขี้เหนียวจัง...”
     
               “ทีมาร์คแกะส้มให้ยังไม่แซวเลย รู้นะว่าแกะให้อยู่คนเดียว”
     
               “ตอนที่แจ็คสันตัดเล็บให้ก็ไม่ได้แซวนี่..”
     
               “ที่มาร์คทำกับข้าวให้ก็ไม่ได้แซวเลยนะ”
     
               “ตอนสระผมให้ก็ไม่ได้แซวเหมือนกันแหละ”
     
               “แล้วตอนที่…”

     
               เสียงบีบแตรจากด้านหลังเรียกให้เราเลิกเถียงกันอย่างกระทันหัน ไฟที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วทำให้มาร์คต้องเปลี่ยนเกียร์และเหยียบคันเร่งไปข้างหน้า ในขณะที่ผมเอนตัวพิงเบาะ หลับตาลงเป็นสัญญาณยุติการเจรจาทั้งหมดของเราในรถ


               จะสระผม ตัดเล็บ หรือยืมเสื้อก็ช่างเถอะ มันดูเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมล่ะครับ..?
               แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่มาร์ค ผมไม่ทำหรอกนะ

               และไอ้เรื่องแกะส้ม หนุนตัก ทำกับข้าว อะไรนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกัน
     
               แต่ถ้าไม่ใช่ผม มาร์คก็ไม่ทำให้หรอก… เชื่อสิ  







เคยมีรหัส หรือโค้ดลับอะไรสักอย่างไหมครับ?
     
แบบที่ว่า เป็นคำพิเศษ ที่มีความหมายต่างออกไป รู้กันแค่วงใน หรือกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น
     
ผมว่ามันต้องดูคูลมากๆแน่เลย ว่าไหม?



แต่ผมไม่คิดจะมีของแบบนั้นกับมาร์คหรอกนะ
     
แค่นี้เรื่องที่เรายอมทำให้กันและกันอยู่สองคนก็เยอะจะตายอยู่แล้ว
     
มากกว่านี้ก็เหลือแค่ขังตัวเองไว้ในบ้านให้เจอหน้ากันสองคนแล้วเนี่ย




-----------------------------------------------------------------------------------------


Comments