BED FRIEND : 021




021


ว่ากันว่า รักแรกนั้น มักไม่สมหวัง
     
ซึ่งถ้านับเฉลี่ยจากอายุของคนเราที่เริ่มจะมีรักแรกที่ไม่เกิน 10 ปีแล้ว รักคืออะไรก็ยังไม่น่าจะเข้าใจ
     
ไอ้เรื่องที่มันจะไม่สมหวังก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว






               ผมยืนปล่อยควันอยู่จุดเดิม ดาดฟ้าบริษัท คิดว่าอีกราวๆปีสองปีเราอาจจะต้องมาเซ็นสัญญารับมอบกรรมสิทธิ์พื้นที่แน่นอน เล่นมายึดครองเอาเป็นที่สูบบุหรี่ประจำกันสองคนบ่อยขนาดนี้
               แจ็คสันยืนเกาะระเบียงอยู่ข้างๆผม เหมือนเดิม เหมือนกับตอนม.ปลาย เรายืนดูดบุหรี่กันท่านี้นี่แหละ ตั้งแต่อยู่ในชุดนักเรียน ยันนักศึกษา และชุดสูททำงาน มันเป็นกิจวัตรไปแล้ว กลิ่นบุหรี่ช็อคโกแลตกับมินท์ลอยผสมกันในอากาศ ฟังดูเหมือนจะไม่เข้ากัน แต่ก็โอเคนะ
     
               “พนักงานใหม่มายัง?”
               “มาเมื่อเช้า” ผมตอบแบบอุบอิบๆเพราะปากยังคาบแท่งนิโคติน “..ผู้หญิง”
               “สวยมะ?” คนข้างตัวถามแบบไม่จริงจังนัก ซึ่งเมื่อนึกถึงแล้วก็อยากจะถอนหายใจแรงๆสักที

               “...จำนิโคลได้มั้ย?”




               นิโคล.. เป็นชื่อแฟนคนแรกของผม
     
               เธอเป็นลูกครึ่งสเปน - เกาหลี ลูกสาวของเจ้าของบริษัทอะไรสักอย่าง เรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมต้น ถึงจะไม่ได้สังเกตมากแต่ก็พอจะรู้ว่าเธอชอบผมอยู่ ว่าไงดีล่ะ? การที่พยายามมาเดินผ่านหน้ากันทุกวันทั้งที่ผมเองก็นั่งอยู่หลังห้องนั่นดูโคตรจะจงใจ เป็นใครก็ต้องรู้

               นิโคลเป็นเด็กผู้หญิงสไตล์ Queen Bee มั่นใจ ถือตัว จะด้วยความที่พ่อรวยหรืออะไรก็ตามแต่ทำให้มีคนห้อมล้อมเอาใจเสมอ แก่แดด ชอบแต่งตัวเกินวัยแม้จะดูไม่เข้ากันเลย ซึ่งตอนนั้นคนในห้องคงคิดว่าเธอเจ๋งมาก และทุกอย่างที่เธอทำจะเป็นประเด็นสนใจทั้งนั้น แม้กระทั่งเรื่องที่เธอสนใจผมก็ด้วย

               เมื่อเธอชวนผมคบ คำตอบที่ผมให้เธอไปก็มีแค่ ‘ก็ได้’ เหมือนว่ากำลังชวนไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร แต่เรื่องราวหลังจากนั้นกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน     
               เธอดูจริงจังกับสถานะใหม่มาก สารภาพว่าก่อนหน้านั้นผมก็ไม่เคยคบใครมาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเป็นแฟนต้องทำยังไงเลยแค่ตามน้ำไปเท่านั้น อันไหนทำได้ก็ทำ อันไหนทำไม่ได้ก็ปฏิเสธ แบบที่ว่าถ้าเธออยากจะจับมือถือแขนผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรเพราะมันก็นิ่มดี ถ้าเธออยากจะไปเที่ยวกับผมสองคนนั่นก็โอเคหากวันนั้นผมไม่ได้นัดกับแจ็คสันไว้

               แต่ปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ

               เมื่อคบกันไปได้นานเข้า เธอก็เริ่มจะจับจองหลายๆอย่างในชีวิตผม จากที่เคยชวนไปชอปปิ้งด้วยอาทิตย์สองอาทิตย์ครั้งในตอนแรกก็กลายเป็นว่าต้องไปอาทิตย์ละสองครั้ง หรือแม้กระทั่งบางครั้งผมยังต้องไปยืนรอเธอหน้าห้องร่วมสิบนาทีเพื่อที่จะได้กลับพร้อมกันอย่างที่เธอขอ
               (น่าเบื่อที่สุดเลยให้ดิ้นตาย ตอนนั้นทำไปได้ยังไงวะ?)

     
               และยิ่งไปกว่านั้นคือ ...การชวนทะเลาะในประเด็นเดิมๆ ที่ชื่อว่า ‘แจ็คสัน’
   


               ตอนแรกๆเหมือนเธอจะโอเคดีที่ผมกับมันจะตัวติดกัน แต่ทำไมหลังๆกลายเป็นประเด็นได้ก็ไม่รู้ เธอโวยวายทุกครั้งที่ผมพูดชื่อแจ็คสัน โกรธทุกทีที่ผมบอกว่าไม่ว่างจะไปหาเพราะติดดู NBA ย้อนหลังกับมัน แม้กระทั่งคำสุดท้ายก่อนจะบอกเลิกยังเป็นคำว่า

               มาร์คไม่ตามใจเราเหมือนตามใจแจ็คสันเลย!’

               อีกต่างหาก…


               ...ก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่ผมกับนิโคลจะจบกันแบบเละเทะไม่เป็นท่า และไม่คุยกันอีกเลย


     
               ส่วนไอ้ตัวสาเหตุที่ทำให้ผมเลิกกับแฟนคนแรกน่ะเหรอครับ? ตอนนี้หัวเราะก๊ากจนควันสะดุดทันทีที่ได้ยินชื่อนิโคล โยกหัวมันมาชนกับไหล่ผมทั้งที่ยังหัวเราะคิกคัก

               “โลกกลมเนาะ”
               
               ผมก็ว่างั้นแหละ แต่ทำไงได้ล่ะ? กลมไม่กลมก็เหวี่ยงให้เธอกลับมานั่งข้างๆผมแล้ว โชคดีที่เธอไม่เลวร้ายเท่าตอนอายุ 13 ออกจะดีกว่ามากด้วยซ้ำ





-----------------------------------------------------------------------------------------






               “มาร์ค ช่วยพรูฟตรงนี้ให้หน่อยสิ”
               
               ผมเดินกลับเข้าออฟฟิสของแผนกมาได้ก็มีคนเรียกเอาไว้ นิโคลยื่นไอแพดเครื่องนั้นมาทางผม ไม่บอกก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นงานที่ผมให้เธอทำไปเมื่อเช้า ถือว่าเร็วกว่าสปีดที่เด็กในทีมผมทำได้เยอะเลยทีเดียว

               เธอทำงานเร็วครับ และมันก็เรียบร้อยดี สมกับเป็นคนจากบริษัทแม่ มีแค่จุดสองจุดที่ต้องแก้เพิ่ม จริงๆก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่แค่เผื่อไว้เพราะชอบมีบั๊กเกิดขึ้นอยู่เรื่อย เราคุยกันอยู่สองสามนาทีเธอก็รับไปนั่งแก้ไม่พูดไม่จาอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ     
               เวลา 12 ปีที่ไม่เจอกันเธอดีขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะบุคลิกหรือการแต่งตัว ไม่อยากจะบอกว่าผมโคตรดีใจที่เธอเลิกใส่อะไรที่เป็นตาข่ายๆหรือหนังมันวับแบบตอนเด็กๆ ตอนนี้เธอมีแค่เสื้อสูทพอดีตัวกับ.. ไม่รู้ผู้หญิงเขาเรียกอะไร แต่ที่มันเป็นชุดติดกันระหว่างเสื้อกับกางเกงน่ะครับ นั่นแหละ หน้าตาเธอก็จัดว่าดีมากๆเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้เรียกได้เต็มปากว่าสวยมาก นิสัยก็นิ่งขึ้น ทำงานเก่ง

               ...ถ้าเจอกันตอนนี้ ผมอาจจะคบเธอได้นานกว่าตอนนั้นล่ะนะ

               
               



               ผมเอนหลังลงไปที่เก้าอี้ตัวเดิมที่แจ็คสันมันขึ้นมานั่งขย่มผมเมื่อสองวันก่อน ว่าจะดูชื่อบริษัทที่ผลิตเหมือนกันว่าที่ไหนจะได้สั่งไว้ที่บ้านสักตัว แข็งแรงสุดยอดไปเลย ตาก็มองแมคบุ๊คบนตักไปด้วย เช็คงานลูกน้องคนอื่นๆที่ยังไปไม่ถึงไหนพลางส่ายหัวกับสปีดในการทำงานที่อนาถาเหลือเกินของพวกมัน
               “พี่มาร์คๆ”
               “ว่า?”
               โดยไม่ต้องหันไป ผมขานรับไอ้เด็กร่วมทีมที่เรียกจากด้านหลัง ช่วงนี้มันไม่ค่อยกลัวผมเท่าไหร่แล้วครับหลังจากสนิทกับแจ็คสันแล้ว เริ่มจะกล้าเรียกกล้าแซวมากขึ้น แต่ก็ยังหงอทุกทีถ้าผมตบเกรียนมันกลับเวลาลามปามหนักๆ
     
               “พนักงานใหม่ของสาขานู้นเนี่ย.. โคตรสวยเลยอ่ะ ว่ามะ?”
               ผมหัวเราะหึขึ้นจมูกทันทีที่ได้ยิน

               “จะจีบ?”
               
               เด็กทั้งทีมพร้อมใจกันโห่โหยหวนขึ้นมาทันที ตอบปฏิเสธมาแทบไม่ทัน
               
               “ไม่อ่ะพี่ ไม่ไหวหรอก” ว่าแล้วมันก็ฉีกยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย “แต่ผมเชียร์พี่มาร์คนะ”
               “ใช่ๆ ผมก็เชียร์นะ”


               เด็กอีกคนที่นั่งแก้งานยิกๆหลังคอมเสริม แน่นอนว่าที่มันมาพูดแบบนี้ได้ก็เพราะผมอนุญาตให้นิโคลกลับไปก่อนได้แล้ว งานส่วนของเธอเสร็จแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ ส่วนไอ้พวกสปีดเต่ายังต้องทำไปจนกว่าจะเสร็จ
               
               “สวยก็สวย ทำงานก็เก่ง ยิ่งตอนที่ทำงานด้วยกันแล้วผมว่าพวกพี่โคตรเหมาะสมกัน ไม่ลองหน่อยเหรอ?”


     
               “ไม่ต้องลองหรอก เคยแล้วนี่..”

     
               เสียงยียวนกวนประสาทนี่ไม่มีใครอื่นได้ มาอีกแล้ว มาบ่อยจนตอนนี้แผนกผมจะมีพนักงานเพิ่มอีกคนชื่อแจ็คสันหวังแล้วเนี่ย

               “จริงดิพี่แจ็ค!!??” แล้วไอ้ลูกทีมผมก็ตื่นเต้นง่ายเหมือนเคย...

               “ก็นั่นแฟนคนแรกของมาร์ค.. มันไม่ได้บอกเหรอ?”

               เสียงโห่ฮาของทีมพัฒนาดังจนผมต้องส่งสายตาอาฆาตไปให้รายคนเพื่อให้เงียบลง จะมีก็แต่คนมาใหม่ที่ในมือถือแก้วกาแฟนี่แหละที่ไม่เกรงกลัว แถมยังถือวิสาสะเดินมาหลังพาร์ทิชั่น และถึงแม้ว่าเก้าอี้ของนิโคลจะว่างอยู่มันก็ไม่ได้สนใจ หย่อนตัวลงนั่งบนขาผมหน้าตาเฉย..

               ก็หนักนะ.. แต่ว่ามันก็นิ่มดี ยิ่งวันนี้แจ็คสันใส่กางเกงแสลคลื่นๆเข้ารูปแล้ว เวลาที่สะโพกแน่นๆลื่นไถลมาตามหน้าขาก็รู้สึกดีไปอีกแบบ เห็นแล้วอดไม่ได้เลยที่จะขยำมันแรงๆแก้มือว่าง สัมผัสความเด้งสู้มือของกล้ามเนื้อตึงแน่นจากมุมอับสายตา เพลินมืออย่างบอกไม่ถูก
               ..ดีจนบ่นไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
     

               “โห พี่แจ็ค ที่นั่งโคตรกิตติมศักดิ์” แน่นอน แจ็คสันแคร์ที่ไหนกับคำแซว ยังมีหน้าไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่รุ่นน้องในแผนกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แน่นอนว่าด้วยความขี้เล่นของมัน ไม่มีใครคิดมากกับการกระทำนั่นหรอก
               
               “...ว่าแต่ คบกันตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? พี่มาร์คแม่งสุดยอด”

     
               บทสนทนาหลังจากนั้นคือการเผาผมให้รุ่นน้องฟังอย่างออกรสออกชาติของแจ็คสัน ทั้งเรื่องที่นิโคลกับผมคบกันจนเป็นข่าวดังของโรงเรียนไปสองอาทิตย์ เรื่องที่คบกันไม่ถึง 3 เดือน เรื่องที่นิโคลบอกเลิกผมทั้งน้ำตากลางยิมในคาบพละ แน่ล่ะว่าทุกคนสนอกสนใจจนตาวาว ขำเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนผมก็ได้แต่บีบสะโพกแน่นๆนั่นเป็นการเอาคืนที่เล่าอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่ข้างหลัง แต่ดูมันจะไม่สนใจ แถมยังขยับตัวเองให้เข้ามานั่งสูงขึ้นอีก เบียดตัวเองกับหน้าขาผมอย่างท้าทาย

               “ขนาดพี่มาร์คยังโดนบอกเลิกได้.. งั้นคงจริงอย่างที่เขาว่าแล้วมั้งครับว่ารักแรกมักจะไม่สมหวัง”      
               ผมเลิกคิ้วกับคำพูดอย่างกับหลุดออกมาจากหนังสือของรุ่นน้อง ก่อนจะยักไหล่แทนคำตอบ

               “ไม่รู้สิ..คงงั้นมั้ง?”

               ว่าแล้วก็ขยับตัวขึ้นมานั่งหลังตรงดีๆแบบไม่บอกคนบนตักล่วงหน้า แน่ล่ะว่าบั้นท้ายกลมๆนั่นกระแทกกับหน้าขาผมตามแรงขยับจนมันหันมามอง
               ...อืม สงสัยที่ทำไปเมื่อคืนจะยังไม่หายดี

               “แต่แฟนคนแรก ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นรักแรกไม่ใช่รึไง?”

               สิ้นคำ ทั้งทีมพัฒนาผมก็ทำตาโตเป็นไข่ห่าน โหวกเหวกเสียงดังจนน่าจะดังออกไปข้างนอกได้

               “หูววววววววว”
            
               “แบดบอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
            
               “พี่มาร์คคคคค ไม่หล่อพูดคำนี้ไม่ได้นะเนี่ย!!!”


     
               อืม.. ผมชักจะคิดแล้วล่ะว่าต้องกลับไปโหดใส่พวกมันบ้าง หน้าตาแต่ละตัวไม่มีความกลัวเหลืออยู่เลยจริงๆ..





-----------------------------------------------------------------------------------------




               “กลับยัง?”
     
               คนที่นั่งแช่อยู่กับแผนกผมตั้งแต่บ่ายสาม แว้บกลับแผนกไปตอนสี่โมง และลงมาอีกแล้วในตอนหกโมงเหมือนชีวิตนี้ไม่มีงานทำเพิ่งจะหันมาถาม แน่นอนว่าคนอื่นๆกลับกันไปหมดแล้ว ที่ว่างมีเยอะแยะ แต่มันก็ยังเลือกที่จะหย่อนตัวนั่งบนขาผมอยู่ดี อย่างมากก็แค่ขยับเปลี่ยนตำแหน่งจากที่นั่งตอนบ่ายสามไม่ให้เหน็บกิน และยิ่งพอคนกลับไปแบบนี้ยิ่งได้ใจ ตวัดขามานั่งคร่อมอย่างที่มันเคยชิน

               “คิดก่อนว่ากินอะไร.. คิดได้ค่อยกลับ” ผมนั่งเอนหลังพิงพนักสบายๆ ปล่อยให้แจ็คสันมันเล่นอะไรของมันไปเรื่อย ดูตอนนี้มันจะสนใจต่างหูใหม่ของผมเป็นพิเศษถึงได้เพียรมาเขี่ยเล่นอยู่อย่างนั้น

               “อยากกินปิ้งย่าง วันนั้นยังไม่ได้กินเลย”
               “เพราะใครล่ะ?”

               แจ็คสันหัวเราะกับคำย้อนถาม แน่นอนว่าถ้ามันตอบมันก็ต้องโทษผมอยู่ดี “เพราะมาร์คไง ไม่เลี้ยวเองนี่” นั่นไง… ผิดคาดที่ไหน? แต่ผมก็ไม่อยากจะเถียงเลยปล่อยมันโยนความผิดตามสะดวก

               “มาร์ค…”
               “หืม?”
               “นิโคลนี่ไม่ใช่รักแรกจริงดิ?”  
   

               ผมได้แต่ถอนหายใจ…
               “ใช่ก็แปลกแล้ว..”
               ตอนนั้นรักคืออะไรผมยังไม่ค่อยเข้าใจด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ ผมอาจจะทื่อเกินไปกับเรื่องแบบนี้ก็ได้มั้ง ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าความรักมันเป็นยังไง หน้าตาแบบไหน ไม่เห็นจะมีคำนิยามให้สังเกตมาก่อนเสียด้วย
               
               “เขามาขอให้เป็นก็พยักหน้าตามน้ำไปงั้นแหละ ไม่เคยมีหรอกของแบบนั้น”
     
               “ไม่มีจริงดิ?”
               
               “ไม่มี..”
               
               “โหหห เพลย์บอยยยยย”

               ผมล่ะหมั่นไส้คนที่หัวเราะคิกคักอารมณ์ดีบนตัก แต่ก็ไม่เถียงว่า..ชอบที่จะเห็นมันหัวเราะแบบนี้มากจริงๆ ดูสิ ตาหยีจนจะเป็นขีดอยู่แล้ว ต้องมีความสุขแค่ไหนกันล่ะ? แล้วเรื่องเมื่อกี้มันตลกมากรึไงถึงต้องยิ้มกว้างขนาดนี้ แก้มจะแตกอยู่แล้ว รู้บ้างมั้ยเนี่ย
     
               อยู่ๆคนบนตักก็ชะงักไปนิดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ถ้าตาผมไม่ฝาด ผมเห็นแก้มขาวๆนั่นขึ้นสีเรื่อในออฟฟิสที่แทบจะปิดไฟทั้งหมดจนมีแค่แสงสลัวๆ พร้อมกับเสียงตุบของคนที่ทิ้งตัวลงมาซุกไหล่กันแบบไม่บอกไม่กล่าว ถามว่าเป็นอะไรก็ส่ายหน้าอย่างเดียว
               มีแค่เสียงตึกตักของอะไรบางอย่างที่ดังกระทบอกขวาของผมรัวๆกับลมหายใจอุ่นๆตรงไหล่เท่านั้นที่สัมผัสได้


               “มาร์ค..” ผ่านไปเกือบสิบนาที คนที่นั่งเป็นโคอาล่าอยู่บนขาถึงได้พึมพำขึ้นมาใกล้ๆ “อย่าไปใช้สายตาแบบนี้มองใครเชียว..”
               ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ผมทำอะไร? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย แต่แทนที่จะอธิบายมันดันเร่งให้ผมตอบตกลงเสียนี่..

               “ครับ..ครับ ไม่ทำก็ไม่ทำ…”
               “พอใจรึยัง..?”



               เสียงหัวเราะเบาๆกับยิ้มกว้างๆเท่านั้นที่เป็นคำตอบ และเมื่อได้ยินสิ่งที่อยากฟัง แจ็คสันก็กระโดดลงจากตัวผม ลากจูงไปกินเนื้อย่างที่มันอยากกิน ซื้อเบียร์ที่มันอยากจะดื่มกลับห้อง และลงท้ายด้วยการยั่วผมให้ทำอะไรๆแบบที่มันอยากจะให้ทำในห้องน้ำ





               ไหนมีใครเอาแต่ใจมากกว่าแจ็คสันอายุ 25 ไหม?

               นิโคลตอนอายุ 13 ก็สู้ไม่ได้นะ พูดเลย







ว่ากันว่า รักแรกนั้น มักไม่สมหวัง
     
ซึ่งถ้านับเฉลี่ยจากอายุของคนเราที่เริ่มจะมีรักแรกที่ไม่เกิน 10 ปีแล้ว รักคืออะไรก็ยังไม่น่าจะเข้าใจ
     
ไอ้เรื่องที่มันจะไม่สมหวังก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว



และจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันสักเท่าไหร่ ไม่ได้อยากจะเข้าใจด้วย
     
เพียงแต่ว่า.. ถ้าผมจะมีรักแรกกับเขาให้ได้บ้าง
     
ก่อนอื่นต้องหาคนที่ผมจะตามใจมากกว่าแจ็คสันให้เจอก่อนล่ะมั้ง?




-----------------------------------------------------------------------------------------





Comments