BED FRIEND : 019



019


ก็คิดบ้างหรอกนะ ว่าที่แจ็คสันมันเอาแต่ใจเนี่ย ต้นเหตุหนึ่งเป็นเพราะผม
     
อาจจะเพราะผมตามใจมันมากไปหน่อยก็ได้เลยเป็นอย่างที่เห็น
     
แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกเรื่องนะ





               เป็นอีกวันที่ผมตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองกำลังนอนกอดใครบางคนอยู่
     
               เรื่องนอนคนเดียวนั่นลืมไปได้เลย เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ผมไม่เคยได้นอนคนเดียวเลยสักคืน อีกฟากของเตียงจะมีร่างคนที่เคยอยู่ห้องข้างๆเบียดเข้ามาเสมอ จากที่เคยตะขิดตะขวง ตอนนี้เริ่มชิน

               พอมีสติได้ก็ต้องค่อยๆย้ายแขนออกจากตัวอีกฝ่ายเนื่องจากเผลอกอดแทนหมอนข้างไปเมื่อคืน… โอเค ก็ได้ ไม่เผลอก็ได้ แต่ผมไม่อยากจะยอมรับเลยว่าผมอยากจะนอนกอดมันแบบนี้ ถึงมันจะเป็นแบบนี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้วก็เถอะ
               ช่วงนี้แจ็คสันเหมือนจะตัวติดกับผมมากขึ้น..
               ตอนแรกก็อยากจะคิดว่าเพราะมันไม่มีแฟน แต่พอดูไปดูมาแล้วคิดว่าชักจะไม่ใช่ มันจงใจแกล้งกันชัดๆ มันก็รู้ว่าผมไม่อยากจะทำให้อะไรๆมันมากไปกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ยังจะมาทำตัวแบบนี้ใส่กัน อ้อนบ้างล่ะ นัวเนียบ้างล่ะ ไม่ใช่ว่าปกติมันไม่เคยทำ แต่ช่วงนี้เลเวลสาหัสกว่าแต่ก่อนเยอะ

     
               ปกติแจ็คสันหวังไม่เคยอ้อนขออะไรผมมากไปกว่าเรื่องกิน โปรแกรมหนัง หรืออย่างมากก็ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ แต่หลังๆมานี้ไม่ใช่แค่นั้น ขอมานอนด้วยว่าหนักแล้ว แต่อ้อนให้ทำแบบช้าๆนี่ชักจะเกินไป

               ผมถอนหายใจหนักๆ มองกลุ่มผมฟูฟ่องที่ซุกอยู่ตรงอกของตัวเองแล้วก็ได้แต่ปลง
               ผมหนีสุดชีวิต หนีความรู้สึกของตัวเองที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดขึ้นตอนไหนเพราะมันไม่มีทางออกอื่น รู้แหละว่ายังไงสักวันผมก็ต้องปล่อยให้มันไปหาใครสักคนถึงได้เว้นช่องว่างเอาไว้ พยายามไม่ให้มันก้าวข้ามมา พยายามไม่ยุ่งกับการกระทำที่ลึกซึ้งทางอารมณ์ทั้งหมด ถ้าไม่อย่างนั้น..ผมเองนี่แหละที่จะพังในวันที่ไม่มีมัน

               แล้วยังไง..?
               พอมันขอคำเดียวเท่านั้นแหละ อะไรที่หนีๆอยู่นี่ถล่มเข้ามาพร้อมกันหมด
     

               คิดว่ายอมทุกอย่างแล้วจะทำอะไรก็ได้รึไง?
               (ซึ่งผมเดาได้ว่ามันต้องตอบว่า ‘ใช่’ แหงๆ)
     

               ยิ่งเห็นมันนอนอยู่ข้างๆแล้วก็...หมั่นเขี้ยว ยกมือขึ้นบีบจมูกมันจนคิ้วเข้มๆนั่นขมวดเข้าหากัน ปากเบะคว่ำอย่างขัดใจ ไหนจะเสียงฮึดฮัดทั้งที่ตายังไม่ลืมเลยด้วยซ้ำนั่นอีก มันน่า…
               เดี๋ยวนะมาร์ค..
               ผมดึงตัวเองกลับมาได้ทันก่อนที่ร่างกายจะเริ่มขยับไปตามสัญชาตญาณ สูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติก่อนจะถอยตัวเองลงมานอนกับหมอน แต่คนที่เพิ่งโดนกวนให้ตื่นข้างๆตัวเหมือนจะไม่ยอมให้ทำแบบนั้นได้ง่ายๆ มันขยับเข้ามาแปะตัวเองกับอกผมซ้ำ ซุกหน้าลงพลางส่ายไปมา งึมงำงุ้งงิ้งว่า ‘ไม่ตื่น’ ซ้ำๆอย่างกับเด็กห้าขวบที่โดนปลุกไปโรงเรียน
     
               รู้ตัวอีกที ผมก็เผลอจูบหน้าผากมันไปแล้ว..


               ก็แบบนี้ไง..เลยไม่อยากให้มานอนด้วย






               วันเสาร์ที่ไม่มีแพลนจะทำอะไรวนมาอีกครั้ง กว่าผมจะถีบตัวเองออกจากที่นอนได้ก็ตอนที่แจ็คสันมันลืมตาขึ้นมามองพลางส่งยิ้มอย่างรู้ทันให้นั่นแหละ รีบลุกออกมาแทบไม่ทัน ไม่อยากจะอยู่มองสายตาวิบวับเหมือนจะล้อเลียนนั่นเท่าไหร่
               
               อยู่ดีๆก็อยากกินอาหารฟาสต์ฟู้ดมาซะเฉยๆเลยคิดว่าจะสั่งพิซซ่ามากิน อยากจะถามรูมเมทตัวเองอยู่หรอกว่าจะกินอะไรแต่คำตอบก็คงหนีไม่พ้นพวกพิซซ่าหน้าชีสทั้งหลายที่มันชอบหนักหนา ถึงจะบ่นว่าอ้วนตลอดเวลาแต่ผมก็ไม่เคยเห็นมันหยุดกินสักทีเหมือนกัน ดันไปจริงจังกับพวกส่วนประกอบในเมนูอาหารอื่นๆ ทั้งที่ตัดชีสทิ้งตั้งแต่แรกก็จบแล้ว
               ผมไม่ได้จะบอกว่ามันอ้วนนะ ที่เห็นและเป็นอยู่ก็ไม่ได้แย่ ว่าไงดีล่ะ.. มีเนื้อมีหนังหน่อยๆก็ดีเหมือนกัน ถ้าตัวแห้งๆลีบๆแบบผมก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก ถ้าเกิดผอมไปกว่านี้แล้วผมจะจับจะขยำตรงไหนล่ะ? ไม่ได้หรอกนะ ไม่ได้เลย...

               ขณะที่ผมกำลังกดมือถือสั่งพิซซ่าอยู่ อะไรบางอย่างหอมๆก็เดินเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้ามาเสียชิดทั้งที่อยู่ไกลๆก็เห็น วางคางลงบนไหล่แบบไม่สนใจว่าหยดน้ำบนหน้ามันจะหยดลงไหล่ผมหรือไม่
               
               “เอาหน้าชีสนะ!” ร่าเริงไปอีก รู้บ้างมั้ยว่าคนอื่นเขาลำบาก มานัวเนียแต่เช้าเนี่ย.. “เอาไก่ด้วย อยากกินอะ แต่ไม่เอาน้ำอัดลมนะ อ้วน”
               ...ดูจากที่สั่งมาก็ไม่ทันแล้วมั้ย? แต่ผมก็ทำตามที่มันบอกนั่นแหละครับ สรุปได้ว่าเรามีพิซซ่า 3 ถาด ไก่อีกหนึ่งชุด แน่นอนว่าผมสั่งน้ำอัดลมแค่ขวดเดียวเพราะมันบอกว่าไม่กิน แต่เดี๋ยวสุดท้ายมันก็จะมาแย่งกินอยู่ดีเลยเลือกขวดใหญ่ไปเลยจะได้หมดปัญหา แต่จนแล้วจนรอด ขนาดสั่งพิซซ่าเสร็จมันก็ไม่เลิกเอาตัวออกไปจากหลังผมเสียทีจนต้องหันไปถาม
     
               “...มีอะไร?”
               “เปล่า พิงเฉยๆ” ดูมันสิ กวนกว่านี้มีอีกมั้ย? “พิงไม่ได้?”
               “โซฟาก็มีมั้ยล่ะ”
     
               ผมตัดบท เตรียมจะผลักหัวมันออกจากไหล่ตัวเอง แต่ทันทีที่เอื้อมมือจะไปยัน น้ำหนักที่เคยกดทับอยู่บนไหล่ก็หายไป พร้อมๆกับร่างของแจ็คสันที่หายตัวมาโผล่อยู่ข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยืดตัวแตะปากมันลงมากับหน้าผากผม
               
               “....”
               
               ผมนิ่งค้าง ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนนี้ ในขณะที่เสียงของอะไรบางอย่างในตัวกำลังพังทลายลงมาอย่างช้าๆ และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อตากลมโตนั่นหันมาสบกับของผมนิ่งๆพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแบบนั้น
               แจ็คสันมันกะจะฆ่าผมให้ตายชัดๆ..
     
               “ห้ามบ่นนะ เมื่อเช้ามาร์คก็ทำ” มันชี้หน้าคาดโทษ ทำเอาผมรู้สึกโคตรคิดผิดที่หลวมตัวทำอะไรลงไปเมื่อเช้า ตื่นอยู่เหรอวะ ไม่น่าเลยมาร์ค

               “แต่ชอบอ่ะ ทำอีกก็ได้นะ..”





-----------------------------------------------------------------------------------------






               ผมกำลังนั่งส่งข้อความกลับหาใครบางคนที่คอยถามว่าผมว่างหรือเปล่ามาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแต่ไม่ได้กดอ่าน ผมไม่ไหวจริงๆ ทนไม่ได้แล้วกับแจ็คสันแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นที่ต้องโดนมันรุกเข้าใส่ตลอดวันด้วยสายตายียวนแบบนั้น
               ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันดี ดีมาก ดีจนผมอยากจะคว้ามันเข้ามากอดแน่นๆ ขอให้มันอยู่กับผม เป็นของผม ไม่จากไปไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้อยู่แล้ว..
               และเพราะรู้นั่นแหละ ถึงต้องเป็นบ้าอยู่ทุกวันนี้

               โชคดีที่คู่สนทนาตอบกลับมาเร็วเหมือนรออยู่แล้ว ผมไม่รีรอที่จะนัดสถานที่ โรงแรมไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอยู่แล้ว คนที่กล้าติดต่อผมมาแบบนี้ต้องรู้อยู่แล้วว่าระหว่างเราจะเกิดอะไรขึ้น เมื่ออีกฝ่ายตกลงตามนั้นผมก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ เสื้อ กางเกง โค้ท ถูกหยิบใส่อย่างลวกๆ โดยที่ทุกอย่างอยู่ในสายตาของรูมเมทที่ยังเลื่อนช่องทีวีดูนิ่งๆบนโซฟา
               
               “ไปไหน?”
               มันถาม ในตอนที่ผมกำลังเดินมาหยิบถุงยางที่วางเป็นแพ็คอยู่ตรงทีวี โบกแพ็คเกจสีฟ้าสามชิ้นนั่นแทนคำตอบ
               คิ้วที่เลิกขึ้นเหมือนจะเป็นคำถามนั่นยังไม่คลายลง ผมก็ตอบย้ำไปอีกครั้ง
               
               “ตอนนั้น..ไม่ได้ห้ามวันไนท์แสตนด์นี่”

               ไม่ได้บอกว่าเชื่อฟังคำสั่งหรอกนะ.. แต่ตราบใดที่แจ็คสันยังไม่มีใคร ผมจะไม่มีด้วยก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่อยู่ในคำที่มันขอเอาไว้ ผมทำได้ไม่ผิดไม่ใช่รึไง?
               และเมื่อได้คำตอบ รูมเมทผมก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ พึมพำอะไรออกมาคำนึงเหมือนจะเป็น ‘เออว่ะ’ หรือไม่ก็ ‘จริงด้วย’ นี่แหละ ก่อนจะลุกขึ้นมาหาอีกครั้ง
               


               สองครั้งก่อนที่ผมจะไปกับลิลลี่หรือโจวมี่ แจ็คสันมันจะขวางไว้เสมอ ซึ่งผมก็เข้าใจได้หรอกว่าเพราะความไม่ชอบที่มีเป็นทุนเดิมของเจ้าตัวถึงทำแบบนั้น และผมก็ยังพอจะวางใจได้บ้าง แต่ถ้าตอนนี้มันห้ามผมขึ้นมา..ผมก็ไม่รู้แล้วจริงๆว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไปได้ เพราะมันไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่จะต้องมาห้ามกัน
     
               คนแถวนี้ในเสื้อกล้ามสีเหลืองลายสปันจ์บ๊อบเดินยิ้มกริ่มเข้ามาหา ผมล่ะเกลียดยิ้มแบบนี้ของแจ็คสัน มันมีลับลมคมในผสมกับความสะใจอะไรบางอย่าง และโดยไม่ต้องเดา มันคงสะใจมากล่ะที่เห็นผมงุ่นง่านได้ขนาดนี้
               ริมฝีปากสีสดนั่นขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นที่เคลียอยู่ข้างแก้มนั่นไม่ได้ช่วยทำให้มีสติเลยแม้แต่น้อย และโดยที่ไม่ได้แตะประทับลงส่วนไหน เสียงแหบห้าวนั่นก็มากระซิบชิดที่ริมหู

               “รีบกลับล่ะ...จะรอ”







               ผมเดินออกจากคอนโดด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่าผสมกับยุ่งเหยิง…
               มันดูไม่เข้ากันใช่ไหม? แต่เดี๋ยวผมอธิบายให้ฟัง
               
               ในหัวผมตอนนี้กำลังยุ่งเหยิงอย่างหนัก ทุกอย่างตีกันไปหมด ทั้งคำพูดของแจ็คสัน ทั้งสิ่งที่มันเคยขอไว้ไม่ให้ผมมีแฟน ทั้งเรื่องที่มันไม่ห้าม… ทุกอย่างไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้เลย แต่จนแล้วจนรอด สมองผมก็ยังพยายามเอามันเข้ามาเกี่ยวกันจนได้
     
               ...เหมือนผมรอให้มันห้ามผม
               ทั้งที่ใจหนึ่ง..ก็ไม่อยากให้มันห้าม
     
               แน่นอน ไม่มีคำว่า ห้าม หรือ อย่า ออกมาจากปากของแจ็คสันแม้แต่ครึ่งคำ ออกจะเป็นประโยคธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยคำว่า ‘จะรอ’ ของมันนี่แหละที่ทำให้ผมคิดหัวแทบแตกว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
     
               มันรอผมทำให้เสร็จ? มันรอผมกลับไปกินข้าวเย็น? มันรอผมกลับไปนอนด้วยคืนนี้ หรือ...
               มันรอผม..เลิกวันไนท์แสตนด์?
     
               รู้นะว่ายิ่งคิดก็ยิ่งเข้าข้างตัวเองไปเรื่อยๆ.. แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมอยากจะเชื่อเหลือเกินว่ามันคืออันสุดท้าย ถึงแม้จะเป็นคำตอบที่ทำให้สิ่งที่เพียรสร้างขึ้นมากั้นความรู้สึกของตัวเองตลอดหลายปีนี้พังครืนลงมาแบบรวดเดียวทั้งแผงก็ตาม
               และพอคิดแบบนั้น...ผมก็ไม่รู้แล้วว่าระหว่างเราจะเป็นอย่างไร

               ผมจะเป็นอะไรดี? ถ้าผมเลิกทุกอย่างเพื่อมันแล้วเรายังจะเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม? ผมจะกอดมันได้ไหม? จะจูบแบบไม่ต้องรู้สึกอยากต่อยตัวเองหลังจากที่ทำลงไปได้รึเปล่า?
               ฟังดูขี้ขลาดนะ แต่ทุกครั้งที่คิดจะเริ่มอะไรกับใคร ผมมักจะจินตนาการจุดจบเอาไว้ล่วงหน้า เหมือนเผื่อใจเอาไว้ มันจะทำให้ผมรับมือได้ดีขึ้นหากมันเกิดขึ้นจริงๆ.. ไม่มากก็น้อยล่ะ
           
               และเมื่อผมคิดถึงจุดจบของผมกับแจ็คสัน ผมไม่เคยเห็นอะไรนอกจากตัวเองที่พังแบบไม่มีทางเก็บกู้ขึ้นมาได้อีก
              
               นั่นทำให้สมองผมว่างเปล่า ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป..



               กว่าจะรู้ตัวผมก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อตรงสถานีรถไฟมาเกือบสิบนาที เวลาที่นัดไว้คืออีกสามสิบนาทีข้างหน้า ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ก็ไม่ทัน แต่ผมกลับรู้สึกลังเลเหลือเกิน
               ถ้ากลับ..ก็เจอแจ็คสัน ถ้าไป..ก็แค่หนีรอดไปอีกวัน
               
              มันคือ Loop คืออะไรสักอย่างที่ผมติดอยู่ข้างใน พยายามหาทุกวิธีที่จะออกไปมาเกือบสิบปีแต่กลับวนอยู่ที่เดิม และเมื่อตอนที่เจอทางออกก็เพิ่งค้นพบว่าตัวเองกลับไม่ได้อยากออกไป..
               จริงๆนะ ผมอยากจะเป็นเพื่อนกับมัน เพื่อนแบบที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ

              
               เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้ง หน้าของคู่สนทนาหน้าโชว์ขึ้นพร้อมข้อความบอกว่าอีกฝ่ายใกล้จะถึงที่หมายแล้ว ...ผมกำโทรศัพท์แน่นโดยไม่รู้ตัว









               เสียงหัวเราะขึ้นจมูกเบาๆเป็นการทักทายที่แย่ และผมก็เลือกที่จะเบลอมันไปพร้อมๆกับวางกระป๋องเบียร์ 2 โหลที่ซื้อมาลงบนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟา มองไอ้คนที่ยังอยู่ในเสื้อกล้ามสปันจ์บ๊อบที่ซดน้ำอัดลมสบายใจเฉิบทั้งที่เพิ่งบ่นว่าอ้วนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
               ไม่ต้องถามนะว่าเกิดอะไรขึ้น..

               ผมทรุดตัวลงนั่งบนพรมข้างล่าง ในขณะที่มืออุ่นๆลูบลงมาบนหัวเบาๆ บีบเล่นกับหลังคอผมอย่างเพลิดเพลินพร้อมเสียงหัวเราะต่ำในลำคอ
               
               “...มาร์ค”
               “ว่า?”
               ตากลมโตที่ยกยิ้มจนหรี่ปิดนั่นยังคงทำให้ผมใจสั่นเหมือนเคย รอยยิ้มซุกซนเคลื่อนเข้ามาประกบกับปากที่แทบจะคว่ำเป็นร่มของผม
     
               “ว่าจะขอเพิ่มว่า จนกว่าปีหน้าอย่าเพิ่งไปวันไนท์กับใคร...”
               เสียงหัวเราะคิกคักที่ชิดอยู่กับปากผมนี่กวนประสาทเป็นที่สุด แต่จะบ่นอะไรได้ล่ะ ผมดันเลือกแล้วว่าอยากจะกลับมานั่งฟังมันเยาะเย้ยถากถางเอง ถึงขนาดต้องส่งข้อความไปแคนเซิลนัดเมื่อครู่
               “..แต่ไม่จำเป็นแล้วมั้ง?”
     

               ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็พยายามทำให้ดูเหมือนไม่เต็มใจมากที่สุดแล้ว แต่มันได้แค่นี้จริงๆ ก่อนจะกดหลังคออีกฝ่ายเข้ามารับจูบหนักๆจนปากอิ่มนั่นขึ้นสีชัด

               “เอาสิ”
               “ถ้าขอก็จะทำให้…”








ก็คิดบ้างหรอกนะ ว่าที่แจ็คสันมันเอาแต่ใจเนี่ย ต้นเหตุหนึ่งเป็นเพราะผม
     
อาจจะเพราะผมตามใจมันมากไปหน่อยก็ได้เลยเป็นอย่างที่เห็น
     
แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกเรื่องนะ



เพราะที่มันตะแง้วๆจะให้ผมตามใจบ่อยๆน่ะ บางทีก็มีประโยชน์กับผมอยู่บ้าง..
     
หลายต่อหลายครั้งแล้วล่ะ ที่ผมได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่ไม่กล้าจะพูดออกไป
     
..ก็เพราะคำขอของมันนี่แหละ





-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments