BED FRIEND : 017




017


เคยคิดมีคนบอกผมว่า ถ้าอยากจะรู้ความลับของใคร ให้ถามตอนที่อีกฝ่ายกำลังตื่น
     
คนเราในตอนนั้น มักไม่ค่อยมีสติสัมปะชัญญะ และสิ่งที่ต้องการจะปกปิดไว้ จะหลุดออกมาในตอนนั้น
     
ผมไม่เชื่อ..





               “พ..พี่มาร์คครับ ช่วยดูตรงนี้ให้หน่อยครับ”
               

               เด็กในแผนกที่ทำงานด้วยกันมาจะสามเดือนแล้ว แต่มันก็ยังทำหน้าเหมือนผมจะกินหัวมันทุกครั้งที่เข้ามาคุยด้วย แต่ช่างแม่งเถอะ อยากกลัวก็กลัวไป
     
               ผมหยิบงานที่สั่งให้มันไปทำมาตั้งแต่ก่อนพักร้อนขึ้นมาคลิกดูเงียบๆ เลื่อนดูโครงสร้างและรายละเอียดอื่นๆทั้งที่ไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจทำ จริงๆผมก็มอบหมายให้รองหัวหน้าทีมเป็นคนคุมงานอยู่นะ แต่ทำไมมันถึงได้ออกมามีแต่ช่องโหว่แบบนี้ก็ไม่รู้ นี่สั่งให้ทำงานหรือเล่นขายของวะ!?

               “พะ..พี่แทวอนแกป่วยครับ.. ละ..เลยไม่ได้ช่วยดู..” ยังดีที่มันบอกทัน คงเห็นหน้าผมที่เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันนั่นแหละถึงได้คายออกมา “พี่เค้า...ลา ดะ..ได้สามวันแล้ว..”
               “เดดไลน์เมื่อไหร่?”
               “พะ..พรุ่งนี้ครับ..”
               
               “เดี๋ยวจะดูให้ เอาไปแก้ซะ” ผมยื่นไอแพดคืนไอ้คนที่ทำหน้าตาเหมือนใกล้ตายไปพลางลุกออกจากเก้าอี้ไปที่โต๊ะประชุม ก่อนที่สมาชิกคนอื่นๆในทีมจะเข้ามานั่งประจำที่ นับจำนวนหัวแล้วก็เหลืออยู่ 5 คนรวมผม ถ้าจะเอาให้เสร็จพรุ่งนี้ แน่นอนว่าลิมิตเลิกงาน 5 โมงเย็นเอาไม่อยู่หรอก

               “วันนี้ไม่เสร็จไม่ต้องกลับ”





               “มาร์ค..”
     
               ผมเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ ใครบางคนที่เพิ่งเห็นล่าสุดก็เมื่อแปดโมงเช้าเดินเข้ามาหยุดตัวเองอยู่หน้าโต๊ะผม วางมือเกาะพาร์ทิชั่นพลางชะโงกหน้าเข้ามาเสียใกล้ ผมเลยเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไรกลับไปทั้งที่มือก็ยังคีย์งาน
     
               “จะกลับกี่โมง?”

               จริงๆงานที่เหลือมันก็ไม่มากหรอกนะครับ และไอ้สามเดือนที่ผมอัดให้ไอ้เด็กพวกนี้กรำงานก็ใช่ว่าจะไม่มีผล มันก็ทำออกมาเรียบร้อยดีถ้ามีคนช่วยคุมช่วยดู เรื่องนี้ไม่โทษมันก็ได้ แต่สภาพของทีมที่มีข้าวเที่ยงเป็นยาชูกำลังกับกาแฟคนละ 2 แก้วก็ร่อแร่เต็มทน จะให้เสร็จสมบูรณ์ก็น่าจะอีกนาน
               
               “ไม่รู้.. ค้างนี่มั้ง..” ผมตอบตามตรง ส่ายหน้ากับสภาพลูกน้องที่คนหนึ่งฟุบไปแล้ว อีกสองคนก็ตาลอย ส่วนที่เหลือรอดเป็นลูกทีมเก่าที่อยู่มาเกินครึ่งปี ยังถือว่ามีสติอยู่บ้าง “จะกลับแล้ว?”
     
               แจ็คสันพยักหน้านิ่งๆ ก่อนจะชะโงกเข้ามาดูสภาพทีมทำงานข้างหลัง ส่ายหน้าเหมือนผมเมื่อกี้ไม่มีผิด “..ไม่กลับจริงดิ?”
               “กลับยังไง? งานไม่เสร็จ”
               “ก็ทำให้เสร็จดิ” พูดง่ายเชียว นี่คนทำงานเหลือสองคน จะเสร็จกี่โมงยังไม่รู้เลย

               ปกติแจ็คสันไม่เคยวอแวกับผมว่าผมจะกลับหรือไม่กลับ จะนอนค้างที่บริษัทติดกันสามวันมันก็ไม่เดือดร้อน ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้มาถามซ้ำๆเหมือนอยากให้กลับพร้อมมันเสียเต็มประดา…
               
               แต่ถ้าจะให้เดา ก็น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่มันพูดในคืนสุดท้ายที่มัลดีฟ..
     
               ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ นวดขมับอีกสองสามทีเหมือนทำใจ คำนวณความเป็นไปได้ถ้าผมจะปลดลิมิตการทำงานกับปริมาณงานที่เหลือ

               “..สองทุ่ม เดี๋ยวไปหาที่แผนก”





------------------------------------------------------------------------------------------





               “พี่แจ็คคร้าบบ มีคนมาหาแน่ะ”
               
               เสียงของใครบางคนที่ผมไม่คิดจะจำชื่อดังขึ้นทันทีที่ผมลากตัวเองไปเหยียบฝ่ายโฆษณาตรงชั้น 34 ผมไม่ค่อยมาบ่อยหรอกเพราะมันต้องขึ้นลิฟต์ที่อยู่ห่างจากแผนกผมขึ้นมาอีก 2 ชั้น ผนวกกับสายตาที่มองเหมือนผมเป็นของแปลกของพนักงานแถวนี้แม่งน่าเบื่อสิ้นดี
               ขนาดตอนนี้เลยเวลางานมาตั้งนาน ก็ยังอุตส่าห์มีคนเหลืออยู่จนได้

               ผมเลือกที่จะไม่เดินเข้าไปหา รู้ว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายก็เดินมาเอง แจ็คสันโบกมือและโค้งลาคนอื่นๆก่อนจะเดินมาพาดแขนกอดคอผมด้วยยิ้มยียวนที่น่ายกมือโบกไปแรงๆสักทีหนึ่ง ติดแค่ยืนตรงๆยังไม่มีแรงนี่แหละ
               “ทำหน้าดีๆหน่อยดิ เดี๋ยวแฟนคลับลดนะ”
               “ช่างแม่ง..”
               ก็ใครล่ะทำให้ผมเป็นแบบนี้.. ไม่ใช่มันรึไงที่เร่งจะกลับบ้านจนผมต้องโหมงาน 3 ชั่วโมงติดเนี่ย

               งานผมเสร็จอย่างฉิวเฉียด แค่เสร็จนะ ยังไม่ได้พรูฟ แต่เนื่องจากตอนที่เสร็จมันคือทุ่มสี่สิบเจ็ดแล้ว ไม่มีเวลาพอที่จะตรวจ เลยยกยอดไปตรวจความเรียบร้อยเอาพรุ่งนี้เช้า ยังจำได้อยู่เลยว่าวินาทีที่ผมประกาศว่า ‘กลับได้’ นั่นลูกทีมทุกคนแม่งเด้งตัวขึ้นอย่างกับโดนไฟช็อต ชูมือชูไม้สรรเสริญพระเจ้าแจ็คสันกันยกใหญ่ ก่อนจะเก็บของและสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว
               
               ผมอยากจะถามไอ้คนข้างๆเหลือเกินว่าทำไมวันนี้ถึงวอแวอยากให้กลับนัก แต่ใจหนึ่งก็..ไม่ค่อยอยากจะได้ยินคำตอบ รู้ว่ามันต้องเป็นอะไรที่ทำให้ผมไขว้เขวขึ้นมาอีกแน่ๆ สุดท้ายจึงได้แต่เดินตามมันไปแบบสะโหลสะเหล ปล่อยมันลากจูงขึ้นบนรถไฟฟ้า แวะซื้อข้าวแถวๆคอนโดก่อนจะขึ้นห้อง

     
               “ไปอาบน้ำไป” ขึ้นห้องมามันก็ไล่ ทำตัวเป็นแม่ซะงั้น แต่แม่ก็ยังบังคับผมได้ไม่ถึงครึ่งของแจ็คสันหรอก เชื่อเถอะ
               
               ผมอาบน้ำ ออกมากินข้าว หลังจากนั้นก็ส่งตัวเองเข้าห้องพร้อมนอนทันทีโดยไม่แคร์ว่าใครจะว่ายังไง ปล่อยแจ็คสันมันทำหน้าที่เก็บกวาด หรือว่าจะทิ้งเอาไว้ล้างวันต่อไปก็ช่างเถอะ ตอนนี้ง่วงจะแย่แล้ว
               ขณะที่กำลังเคลิ้มๆจะหลับอยู่แล้ว อาการยวบลงของเตียงที่ผิดปกติก็ทำให้รู้สึกตัวอีกครั้ง ผมหรี่ตาขึ้นมามองทั้งที่รู้ว่าที่เห็นก็มีเพียงความมืด
               กลิ่นสบู่ยี่ห้อเดียวกันเท่านั้นที่บ่งบอกได้ว่าอะไรเป็นอะไร

               “...ทำอะไร?”
               ผมถาม ขณะที่เงาตะคุ่มดำๆที่ทั้งหอมทั้งอุ่นกลิ้งลงมาแปะข้างๆพร้อมกับหมอนประจำตัว ดึงผ้าห่มผมไปคลุมหน้าตาเฉย
     
               “นอนไง”
               ...ตลกล่ะ
               
               “อย่ากวน จะนอนแล้ว”
               “ก็นอนไปสิ จะนอนเหมือนกัน”

               คราวนี้ผมถึงกับต้องควานหาสวิทช์ไฟที่หัวเตียง กดเพื่อให้แสงสีส้มนวลนั่นสว่างขึ้นมาจนเห็นคนตัวขาวที่นอนอยู่ข้างๆ กอดหมอนข้างของผม เสื้อกล้ามตัวนั้นที่ใส่อยู่ก็ของผม ดีแค่ไหนมันไม่เอาบอกเซอร์ผมไปใส่ด้วยอีกอย่าง แถมตอนนี้ก็ยักคิ้วกลับมาอย่างกวนประสาทด้วยนะ

               “...แจ็คสัน”
               ผมกดเสียงต่ำ ไม่ได้จะขู่นะ ง่วงจะแย่แล้วต่างหาก ทำไมต้องมากวนกันตอนนี้ด้วย
     
               “มาร์ค..” มันเลียนแบบด้วยการเรียกชื่อผมด้วยโทนเดียวกัน หัวเราะคิกคัก “นอนเถอะน่า ตอนเด็กก็นอนด้วยกันออกบ่อย ไม่ใช่เรื่องใหม่ซะหน่อย”

               ก็นั่นมันตอนเด็กมั้ยล่ะ นี่มันกี่ปีมาแล้ว? แถมเตียงก็เป็นแบบ 6 ฟุตเท่านั้นเอง นอนแทบจะเบียดกันอยู่แล้วเนี่ย
               


               ผมขมวดคิ้ว ถอนหายใจใส่คนข้างตัวที่เอื้อมมือมาปิดสวิทช์โคมไฟให้พร้อมรอยยิ้ม และต่อให้ผมนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย สุดท้ายผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
               เรานอนด้วยกันครั้งสุดท้าย..น่าจะเป็นช่วงประถม แจ็คสันมันชอบหิ้วหมอนข้ามมานอนที่ห้องผมแบบนี้ประจำ แต่พอเราขึ้น ม. ต้นและแจ็คสันเริ่มมีแฟนคนแรกเราก็เลิกทำแบบนี้.. การนอนเตียงเดียวกันอีกครั้งในวันนี้นี่เหมือนกับการย้อนเวลากลับไปอย่างไรอย่างนั้น
     
               จะผิดก็ตรงที่… เราไม่ได้เป็นเด็กแล้ว
     
               ตอนนั้นแจ็คสันก็ไม่ได้ตัวโตเท่านี้ ไม่ได้ตัวอุ่นแบบนี้ ไม่ได้ตัวหอมแบบนี้ ไม่ได้...ทำให้ผมปั่นป่วนได้เท่านี้ ถึงแม้จะแค่นอนใกล้ๆที่ไม่ได้มีอะไรสัมผัสกัน แต่นั่นก็ทำให้สติผมอยู่ไม่นิ่งเอาเสียเลย
               ตอนนี้ผมอายุ 25 แล้ว.. ไม่ใช่เวลาที่จะมาใจสั่นเป็นเด็กมัธยมเวลาได้นอนเตียงเดียวกันเสียหน่อย


               จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่คิดว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้ทั้งๆแบบนี้ ลุกขึ้นสะบัดผ้าห่มออกเตรียมหยิบหมอนออกไปนอนห้องอีกฝ่าย แต่ทันทีที่จะลุกออกจากที่นอน มือของใครบางคนก็รั้งเสื้อเอาไว้

               “....”

               ไม่มีใครพูดอะไร และมือมันก็ไม่ปล่อย จนผมต้องวางหมอนลงที่เดิม แต่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง นั่งจ้องร่างตะคุ่มๆของกันและกันในความมืดเหมือนจะทดสอบความอดทน
               ผมอยากจะถามแจ็คสันเหลือเกินว่าคิดอะไรอยู่ มันเคยคิดถึงผมบ้างไหมว่าจะรู้สึกยังไงเวลาที่ทำแบบนี้ ที่บริษัทก็ทีหนึ่งแล้ว นี่ยังมาตอนจะนอนอีก ความอดทนผมมันมีไม่มากนักหรอกนะ ถ้าเผลอทำอะไรขึ้นมาจะมาโทษกันไม่ได้

               “ง่วงไม่ใช่รึไง.. นอนดิ”
               “นอนได้ที่ไหน..” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เอนตัวลงพิงกับหัวเตียงพลางนวดขมับที่เต้นตุบๆของตัวเองให้คลายลง และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว อะไรบางอย่างหนักๆก็ทับลงมาบนตัวเสียอย่างนั้น

               “ให้ช่วยทำให้หลับมะ?”
               ผมหรี่ตามองไอ้ต้นเหตุที่ทำให้ผมนอนไม่ได้ตรงหน้า เหอะ ยังมีหน้าจะมาเสนอตัวทำให้หลับ ที่ทำให้สมองรวนจนนอนไม่ได้อยู่นี่ก็มันไม่ใช่รึไง จะมาทำอะไรให้อีก?
               
               ผมไม่มีคำตอบให้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันขยับเข้ามาใกล้เสียจนกลิ่นสบู่แชมพูอบอวลไปหมด ความอุ่นนุ่มของอะไรบางอย่างแตะลงมาบนแก้ม เดาเอาก็ได้ว่าน่าจะเป็นปากมัน ได้ยินเสียงสบถพึมพำว่า ‘มองไม่เห็น’ หรืออะไรทำนองนั้น ก่อนที่โคมไฟบนหัวเตียงจะสว่างขึ้น
     
               ผมควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว..ว่าไม่น่าจะได้นอนดีๆคืนนี้


               แสงสีส้มอ่อนที่ขับให้ผิวเหลืองโทนเอเชียของอีกฝ่ายดูนวลตาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความอุ่นของผิวเนื้อที่แนบลงมา ลมหายใจเป่ารดอยู่ที่ข้างแก้ม ในขณะที่ตากลมโตซุกซนนั่นจ้องเป๋งเหมือนกะจะแกล้งกัน ไหนจะท่าทางล่อแหลมที่มานั่งคร่อมตักทั้งที่เนื้อตัวก็มีแต่เสื้อกล้ามกับบอกเซอร์สั้นๆแบบนี้อีก..
               ผมหลับตา พยายามปรับลมหายใจให้นิ่งที่สุด แต่จะทำได้ยังไงในเมื่อมันยังเบียดตัวเองเข้ามาแบบนี้ มือก็ปัดไปทั่วทั้งบนทั้งล่าง ถ้าลืมตาเมื่อไหร่ ผมต้องเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรจะทำลงไปแน่ๆ
     

               แจ็คสันยังคงหัวเราะชอบใจ มือนั้นประคองใบหน้าผมขึ้น กดจูบเบาๆลงที่ข้างแก้ม นุ่มนวล อ่อนหวานจนแปลกใจ แต่ไม่ทันจะอ้าปากถามหาสาเหตุคำตอบก็มาก่อน

               “ตอนที่เมา มาร์คจูบแบบนี้..”
               “โกหก..”
               “ไม่โกหก..” เสียงหัวเราะแหบห้าวดังอยู่ข้างหู ก่อนที่สัมผัสนุ่มละมุนนั่นจะแตะลงมาที่แก้มอีกข้าง

               บ้าน่า.. ผมไม่ทำหรอก ไม่มีทางทำด้วย

               มืออุ่นๆนั่นดึงแขนผมขึ้นไป ชั่วอึดใจ ริมฝีปากนุ่มนั่นก็ประทับลงมาที่หลังมือ “..มาร์คทำแบบนี้ด้วย”
               “โกหก..”

               แจ็คสันไม่ตอบ แต่กลับจับมือผมไปวางไว้บนที่ๆหนึ่ง เสียงเต้นตุบของอะไรบางอย่างดังอยู่เบื้องล่าง เป็นจังหวะถี่รัวเกินกว่าจะคำนวณได้
               
               “พอทำแบบนี้.. มาร์คก็จ้องตาไม่กระพริบ”
               “มาร์คยิ้มด้วยนะ ยิ้มเหมือนตอนเด็กๆ..”

               “แล้วมาร์คก็เรียก แจ็คสัน.. แจ็คสัน.. ทั้งคืนเลย..”


               ผมลืมตาโพลงขึ้นมามองคนที่กำลังกวนประสาทในระยะประชิด ดวงตากลมโตที่จ้องกลับมาไม่มีแววว่าจะล้อเล่นแต่อย่างใด กลับกัน มันจ้องผมนิ่งเหมือนจะท้าทาย

               “...โกหก”

               ผมได้แต่พึมพำเสียงเบา ก่อนที่คนบนตักจะถอนหายใจยาวเหยียด โน้มตัวเข้าจูบ เป็นการสิ้นสุดบทสนทนาของเราในคืนนั้น..








เคยคิดมีคนบอกผมว่า ถ้าอยากจะรู้ความลับของใคร ให้ถามตอนที่อีกฝ่ายกำลังตื่น
     
คนเราในตอนนั้น มักไม่ค่อยมีสติสัมปะชัญญะ และสิ่งที่ต้องการจะปกปิดไว้ จะหลุดออกมาในตอนนั้น
     
ผมไม่เชื่อ..




เพราะในวันนี้ ผมพิสูจน์แล้วว่าตอนตื่นนอนไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผมจะไร้สติขนาดนั้น
     
และสาบานว่าชาตินี้..จะไม่เมาขนาดนั้นอีกแล้ว
     


หรืออย่างน้อยๆ ตอนแจ็คสันอยู่ ...ผมจะไม่มีวันเมา



------------------------------------------------------------------------------------------





Comments