ROOT IF : B



ROOT IF : B

มาร์ค Bed Friend & กากา Ma Beauty






            “พี่มาร์ค..”


            เสียงหงุงหงิงของเด็กบนเตียงเรียกให้ผมเหลือบตามองเวลาตรงหน้าจอ ให้ตาย นี่เที่ยงคืนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? ทำไมมันเร็วแบบนี้ จำได้ว่ารอบล่าสุดที่มองเวลามันแค่ 3 ทุ่มไม่ใช่เหรอ

            พอเห็นแบบนั้นผมก็มีอันต้องปิดจอคอมลงอย่างเสียไม่ได้ ก็นะ... นี่มันก็ดึกแล้วสำหรับมัน เด็กไม่ควรนอนดึก แค่นี้โกรธว์ฮอร์โมนก็ดูจะไม่พอใช้อยู่แล้วถึงได้ตัวแค่นี้ ขืนให้นอนดึกไปกว่านี้จะไม่ยอมสูงเอา



           

“การบ้านเสร็จแล้ว?” 

ผมถามไปงั้นในตอนที่ขยับตัวขึ้นไปนั่งดีๆบนเตียง รู้แหละว่าน้องมันก็ตั้งใจเรียนอยู่ แต่ก็ถามเช็คเพื่อความสบายใจ ไหนๆแม่เขาก็อุตส่าห์ฝากฝังให้ลูกมาอยู่ด้วย จะปล่อยให้เกรดร่วงก็ดูจะไม่เข้าท่า

            “เสร็จตั้งแต่สี่ทุ่มแล้วเหอะ” ไอ้เด็กน้อยยู่ปากใส่ผม และก็เหมือนว่ากลัวจะไม่เชื่อ ถึงได้หยิบเอาสมุดหนังสือมากางใส่ตักกันแบบนี้ ชี้ให้ดูเอกสารที่ถูกกรอกข้อมูลเรียบร้อยทั้งแผ่นด้วยลายมือขยุกขยุยอ่านแทบไม่ออก แต่ก็เบื่อจะบ่นแม่งแล้วเพราะบ่นมาตั้งแต่มันอยู่เกรดหนึ่งแต่ก็ไม่ได้นำพา 

            “นี่ไง ดูดิ เสร็จแล้วจริงๆ”




            ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกคนให้เจ้าตัวได้โวยวายพอเป็นกระษัย ตลกหน้าตาบู้บี้ของมันจะแย่แต่ก็หยิบเอาการบ้านที่เสร็จแล้วใส่กระเป๋ากลับไปให้อย่างเดิม กำลังจะเอื้อมมือไปปิดไฟแต่มือป้อมๆของคนแถวนี้ก็แตะห้ามเอาไว้เสียก่อน

            “อย่าเพิ่งปิดดิ” ไม่ว่าเปล่า มือของมันยังมาผลักผมให้ออกห่างจากหัวเตียง เจ้ากี้เจ้าการดันผมให้ไปนั่งขัดสมาธิอยู่อีกฝั่ง “เดี๋ยวนวดให้ พี่มานั่งตรงนี้ๆ”

            “ไปหัดจากไหนมาเนี่ย?”

            “กูเกิ้ลเอาดิ๊! เห็นอย่างนี้ผมก็ฉลาดนะเว้ย”


            อะไรของมัน ถามนิดถามหน่อยก็โมโห นี่ยังไม่มีใครว่าอะไรมันเลยนะ ร้อนตัวจริงเชียว






            ฝ่ามือเล็กๆที่ลงน้ำหนักมาบ่นบ่านั่น...ก็ดีจริงๆแหละครับ จะว่าไปมันก็เมื่อยๆอยู่เหมือนกัน นั่งเก้าอี้นานก็ออฟฟิศซินโดรม ขยับตัวทีก็แทบจะลั่นกร๊อบไปทั้งร่าง ได้คนมานวดให้บ้างก็ดีไม่น้อย  แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า ไอ้หมอนวดกิตติมศักดิ์ของผมเสือกเป็นระบบนวดไปบ่นไป เสียงแจ้วๆที่บ่นพึมนั่นไม่เคยจะขาดเลยทีเดียว


“เนี่ย เค้าบอกว่าคนที่นั่งเก้าอี้นานไหล่จะเมื่อย ผมเห็นพี่มาร์คนั่งหน้าคอมยาวๆทุกวันเลยจะนวดให้”

“พี่ก็อายุไม่น้อยนะเว้ย ออกกำลังกายบ้าง บุหรี่กับกาแฟก็เพลาๆลงหน่อย... ข้าวก็กินให้ครบมื้อซะบ้าง ผมเห็นพี่กินข้าววันละมื้อโคตรบ่อยอะ กินไปทำงานไปด้วย มันไม่โอเคนะ”

“ไม่สิ... ผมว่าอย่างพี่เนี่ยเริ่มจากนอนเหมือนคนปกให้ได้ก่อนดีกว่า พี่ต้องนอนให้ได้อย่างน้อย 6 ชั่วโมงนะ เข้าใจรึเปล่า?”


            ผมนี่แทบจะถอนหายใจยาวๆใส่แทนคำปฏิเสธ จะอันไหนที่มันว่ามาผมก็ทำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ “ก็งานมันต้องนั่งเก้าอี้ทำ ถ้าจะให้ทำแบบนั้นก็ไม่ต้องทำงานพอดี จะเอาตังค์ที่ไหนมาใช้ล่ะ”


            “แคร์อะไร? ผมเลี้ยงพี่เองก็ได้!”

            “เนี่ย ผมตั้งใจเรียนอยู่นะเว้ย ถ้าผมเรียนจบก็คงทำงานบริษัทป๊า พี่มาร์คก็... 30 พอดีใช่มะ? ตอนนั้นก็ค่อยลาออกมาเป็นแม่บ้านให้ผมก็ได้ เดี๋ยวผมหาเลี้ยงพี่เอง!”



            ผมกลอกตามองไอ้เด็กเมื่อวานซืนตัวเท่าเมี่ยงที่ประกาศเสียชัดเจนว่าจะให้ผมลาออกจากงานตอนสามสิบอย่างอ่อนใจ ไม่รู้จะเพลียกับอะไรก่อนดีระหว่างความคิดที่เถรตรงเหลือเกินของมัน หรือสภาพเศรษฐกิจของตัวเองในตอนนี้ที่ทำให้มันต้องพูดคำนี้ออกมา 
            เออ จะเลี้ยงน่ะไม่ว่าหรอก รู้ว่าบ้านรวย ค่าห้องที่อยู่นี่ก็ผ่อนกับพ่อมันอยู่...

            แต่แบบ... คำว่าแม่บ้านนี่แม่งแสลงหูจริงๆให้ดิ้นตาย อย่าบอกนะว่ามาถึงขนาดนี้แล้วมันยังคิดว่าผมจะยอมเป็นเมียมันน่ะ? 

            เหอะ บอกว่าไอ้แจบอมเพื่อนมันพูดภาษาอังกฤษไฟแล่บยังน่าเชื่อกว่า




            “ไว้ตอนนั้นค่อยมาว่าก็แล้วกัน ตอนนั้นจะยังอยากอยู่ด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้” ผมตัดบทอย่างไม่ถือเป็นจริงเป็นจังนัก หันหลังกลับไปหามันว่าจะขอให้นวดหลังให้เพิ่มอีกที่ แต่หน้าตาหงอยๆที่เห็นนั่นก็ทำให้ชะงักไป 

            กากา...?”

            ตากลมโตนั่นเงยขึ้นมาสบ ให้ตาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกเหมือนว่าจะเห็นมันน้ำตาคลอนิดๆอยู่ด้วย เป็นเรื่องแล้วไงล่ะ..

“ทำไมพี่ชอบคิดแบบนั้นอยู่เรื่อยเลย.. เพราะผมเป็นเด็กเหรอ?”

“เปล่า...”

“แล้วทำไมพี่ไม่เคยเชื่อเลยวะว่าผมอยากอยู่กับพี่? ผมดูไม่น่าไว้ใจหรือไง?




เสียงสั่นๆของเด็กตรงหน้านั่นทำผมใจไม่ดีเอาเสียเลย แต่ก็เพราะไม่รู้จะอธิบายความคิดที่มีอยู่ในหัวนี้ให้มันฟังได้อย่างไรเหมือนกัน ผมจึงได้แต่ดึงตัวมันเข้ามากอดแน่นๆ ลูบกลุ่มผมนิ่มๆพลางพึมพำขอโทษเบาๆที่ข้างหู ไม่ลืมกระซิบย้ำให้มันลืมๆเรื่องที่ผมพูดไปซะ เหมือนทุกๆทีนั่นแหละ...

โชคดีที่อีกคนไม่ได้ขัดขืนอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กอดตอบ เอาแต่ซุกหน้ากับอกผมอยู่อย่างนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง เดือดร้อนให้ต้องแกะมันออกมา ประคองแก้มนิ่มๆนั่นให้เข้ามาใกล้ กดจูบเบาๆบนหน้าผากของเด็กแถวนี้ที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ได้ในทุกวินาทีหากผมเกิดพูดอะไรสะเทือนใจเข้า



“คืนนี้นอนด้วยกันนะ” 
เอ่ยชวนพลางกอดเอวนิ่มๆนั่นไว้ ต่อให้มันตอบว่าไม่ผมก็คงไม่คิดจะให้มันทำแบบนั้นอยู่ดี ซึ่งผมว่าอีกคนก็คงเดาได้แหละถึงได้ยู่หน้าใส่ แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนอนข้างๆแต่โดยดี

“พี่มาร์คแม่ง.. เปลี่ยนเรื่องตลอดอ่ะ” มันบ่นพึม สะบัดตัวหันหลังให้ แต่ก็ไม่ได้เขยิบห่างไปจากระยะที่แขนผมจะตามไปโอบถึง “..โคตรขี้โกง”





ผมได้แต่หัวเราะในลำคอ ปล่อยให้คำบ่นนั้นลอยหายไปกับอากาศ


...บางทีผมก็อาจจะขี้โกงจริงๆนั่นแหละ ที่ไม่ยอมพูดอะไร แต่ก็ยังรั้งอีกคนเอาไว้แบบนี้ไม่ยอมปล่อย...









ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่เหมือนกัน..

แต่คงจะมีสักวันแหละ ที่ผมจะกล้าพอที่จะทำให้มันเป็นของผมจริงๆ


จนกว่าจะถึงตอนนั้น.... ขอให้ยังอยู่ด้วยกันด้วยเถอะนะ






#เศษฟิค


Comments