ROOT IF : A
เอิน Ma Beauty. & เจย์ P.B.B
“เป็นข่าวใหญ่เลยนะครับ...”
เด็กหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างเล่นมือถือในห้องพักหรูเปรยเสียงเรียบ
ไม่มีวี่แววของอารมณ์ใดเป็นพิเศษ
แม้แต่ระดับเสียงก็ยังไม่ได้ต่างจากพึมพำกับตัวเอง
แต่ก็ยังทำให้ไหล่ของคนอายุมากกว่าที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจกกระตุกขึ้นมาจนได้
“พะ...พวกนักข่าวแบบนี้แหละครับ
ชอบเขียนอะไรเกินจริง”
ซูเปอร์สตาร์ที่เพิ่งจะทาครีมได้ครึ่งหน้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น
แอบเหลือบตากลับไปดูคนบนโซฟาเพื่อสังเกตปฏิกิริยาเล็กน้อย แต่ก็ต้องหันหลบแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังจ้องเป๋งกลับมา
เจย์
หวัง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ทาครีมอีกครึ่งหน้าของตัวเองให้เรียบร้อยในขณะที่สรรเสริญบรรพบุรุษของเพื่อนรักเพื่อนพยาบาทเพียงหนึ่งเดียวในใจไปด้วยพร้อมกัน
ไหนจินยองบอกว่ามีแฟนเด็กแล้วชีวิตจะสดชื่นแจ่มใส
ใจเต้นแรงเหมือนกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้งไงวะ?
แล้วนี่มันคืออะไร!?
เพราะจินยองนั่นแหละที่แนะนำเด็กคนนี้ให้เขารู้จัก จำไม่ได้แล้วว่ารู้จักกันเพื่อนทางไหนเพราะเขาก็ไม่ได้ใส่ใจฟัง ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นประเภทเนิร์ดๆแว่นหนาเหมือนกันเสียด้วยซ้ำ แต่พอเห็นหน้าแล้วกลับหล่อผิดคาด หน้าตาตรงเสปค เสียงถูกหู แถมยังเป็นเด็กมัธยมปลายปี 1 ที่อายุห่างจากเจย์ หวัง 9 ปีถ้วนอีกต่างหาก ไอ้เขารึก็นึกว่าจะได้มีชีวิตช่วงปั้บปี้เลิฟ หรืออะไรใสๆน่ารักๆเหมือนคนอื่นเขาบ้าง...
เออ ก็ไม่เถียงหรอกว่า คบเด็กม.ปลายแบบนี้เขาเองก็พอจะมีโอกาสได้ทำตัวเด็กๆอย่างไปเที่ยวสวนสนุก หรือไม่ก็เดทชิลๆในร้านหนังสือที่แฟนชอบไปทบทวนบทเรียนบ้าง บางทีก็ต้องวิ่งหลบแฟนคลับกันอุตลุดแต่ก็ตื่นเต้นดีไม่เลว รวมๆแล้วว่าจะนับว่าใจเต้นก็ได้อยู่
แต่ให้ตายเถอะ บางครั้งก็เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ากับน้องเอินเนี่ย... แม่งเกินระดับใจเต้นไปแล้ว
...เรียกว่าอกสั่นขวัญแขวนเลยน่าจะเหมาะกว่า
เจย์ หวัง ไม่เข้าใจนัก..
ตามหลักแล้วถ้ามีแฟนเด็ก เวลาจับได้ว่ามีอะไรแบบนี้มันควรจะเป็นฉากฟรุ้งฟริ้ง
พ่อแง่แม่งอน ฝ่ายที่เด็กกว่าควรจะเอะอะโวยวายลั่นๆให้เขาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเข้าไปอธิบายอย่างใจเย็นเหมือนในซีรีย์ส์โรแมนติคคอเมดี้ไม่ใช่เหรอวะ?
ทำไมพอเป็นน้องเอิน
มันถึงได้เหมือนหนังสืบสวนสอบสวนผสมฆาตกรรมแบบนี้เนี่ย?
“เหรอครับ..?”
นั่นไง เสียงเย็นแบบนี้ทีไร เจย์ หวัง
ไม่เคยจะสงบใจได้ แต่ถ้ายิ่งทำตัวมีพิรุธก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ชายหนุ่มจึงได้แต่หลับหูหลับตาไม่รู้ไม่ชี้
ทำเหมือนว่าสิ่งที่อีกคนกำลังพูดถึงนั่นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“จริงครับ วันนี้พี่ทำงานในห้างกันไง
พอเสร็จแล้วก็เลยไปหาอะไรกินกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอกครับเอิน”
ใช่... ก็แค่ชวนควานลินไปกินข้าว....กันสองคน...แล้วนักข่าวถ่ายได้
เฉยๆ...
เปล่านะ เขาเปล่านอกใจน้อง เจย์ หวัง
สุภาพบุรุษพอที่จะคบคนทีละคน และเขาก็ไม่นิยมคบซ้อนเพราะมันยุ่งยากเกินไป แต่แบบว่า...วันนี้เขาถ่ายงานกับควานลินในสตูดิโอไง แล้วควานลินดันหน้าเหมือนน้อง เขาก็เลยเผลอตัวชวนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แล้วนั่นก็รุ่นน้องด้วย กินข้าวด้วยกันแปลกตรงไหน? ไอ้ที่เห็นว่าจับมือถือแขนนั่นก็แค่สกินชิป ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาทำเป็นปกติอยู่แล้ว..
แต่ถ้าขืนบอกน้องเอินไปแบบนั้น มีหวังเด็กแถวนี้ได้องค์ลงเพราะเรื่องที่เขาชวนควานลินออกไปข้างนอกแหงๆ เลยต้องโกหกไปว่ามีงานในห้างพอดี
มันไม่ใช่ความผิดเขาเสียหน่อย จะผิดก็ผิดที่นักข่าวนั่นแหละที่ใส่สีตีไข่จนเว่อร์ว่าเขาแอบไปเดทจนต้องมาโดนแฟนเด็กหมาดๆซักไซ้อยู่นี่
“...ตอนแรกเอินก็คิดแบบนั้นแหละครับ”
เด็กหนุ่มมัธยมปลายก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ปรากฏตัวที่หน้ากระจก
รอยยิ้มหวานหยดนั้นยังอยู่บนใบหน้า แต่ว่ามือเรียวสวยที่บีบลงมาบนไหล่นั่นดูไม่มีความอ่อนหวานนิ่มนวลเอาเสียเลย
แถมยังดูกำแน่น... ไม่มีท่าทีจะปล่อยจนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจซะด้วย “แต่ว่า...”
“เอินจำไม่เห็นได้เลยว่าเดือนนี้พี่เจย์มีงานที่ห้างด้วย”
“พอโทรไปหาคุณผู้จัดการปาร์คก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน... ”
ชิบ...
ดูเหมือนว่าเครื่องปรับอากาศที่มีจะทำงานดีขึ้นมาทันตาเห็น
ชายหนุ่มเจ้าของห้องพักหรูถึงได้รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ต่ำลงอย่างรวดเร็วของห้อง ซึ่งมันก็ค่อยๆลามไปตามตัวเขาพร้อมกับมือสวยๆคู่นั้นที่ลูบต่ำลงมาจนถึงสะโพก
อ้อยอิ่งวนเวียนอยู่ตรงนั้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
...และชายหนุ่มก็เดาได้ว่า
กางเกงตัวนี้ของเขาจะมีสภาพอนาถเพียงไร หากตอบคำถามต่อไปไม่ถูกใจเจ้าของเสียงแหบต่ำที่ยืนซ้อนหลังเขาอยู่ตรงนั้น
“พี่เจย์พอจะเล่ารายละเอียดให้เอินฟังอีกรอบได้ไหมครับ?”
“หรือถ้าไม่...เอินจะได้ลางานเผื่อให้เลย
เพราะว่าวันพรุ่งนี้... พี่เจย์คงจะ ‘ป่วยหนัก’ จนทำงานลำบากแน่ๆ”
#เศษฟิค
Comments
Post a Comment