BED FRIEND SPECIAL : PURPOSE



PURPOSE



เคยคิดไหมครับว่าคนเราเกิดมาทำไม
     
บางคนบอกว่าเพื่อทำอะไรดีๆ บางคนบอกว่าเพื่อทดลองอะไรใหม่ๆ หรือบางคนบอกว่าเราเกิดมาเพื่อใครสักคน
     
ซึ่งฟังดูแล้วก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลส่วนตัวและแตกต่างกันไปตามนิสัยของบุคคล




               ถ้าเป็นเมื่อก่อน จุดปล่อยควันของเราจะอยู่ที่ระเบียงห้อง คอนโดมันไม่ได้มีหน้าต่างมากมาย จุดที่จะสูบบุหรี่แล้วกลิ่นไม่เข้าไปในห้องคงมีแค่ตรงนั้น แต่พอมันเป็นบ้านแล้ว อะไรๆก็เริ่มจะเปลี่ยนไปจากเดิม

               บ้านของเรา - ซึ่งคุณก็รู้ว่าต้องหมายถึงผมกับแจ็คสัน เป็นแค่บ้านชั้นเดียวขนาดกลางๆ สไตล์รวมๆน่าจะเป็นสวีดิช ขาวๆ โปร่งๆ ผสมเครื่องเรือนไม้แบบที่แจ็คสันชอบ บ้านเราไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์เท่าไหร่นัก พื้นที่รอบๆบ้านก็ไม่ได้กว้างขวางแบบบ้านของพ่อหรือแม่ แต่มันก็มีที่พอจะเรียกได้ว่า “สวน” เล็กๆอยู่ข้างหลัง ถึงพื้นที่มันจะพอแค่วางโซฟาแบบเอ้าท์ดอร์ได้หนึ่งตัว กับบีนแบ็ค 2-3 ถุงเอาไว้รับแขกเวลาจินยองหรือแจบอมมันมาเที่ยวและล้อมวงกันทำบาร์บีคิวก็ตาม
               จุดนี้เป็นจุดเดียวที่เราจะสูบบุหรี่กันในบ้าน และด้วยความที่มันบรรยากาศดี บางครั้งผมก็จะหอบหิ้วเอาแลปทอปมานั่งทำงานไป สูบบุหรี่ไปเพลินๆในวันหยุด ในวันทำงานปกติผมจะอยู่แต่ในห้องแอร์ พอได้มาสูดอากาศข้างนอกเสียบ้างในวันแบบนี้มันก็ดีไม่น้อยเลย
     
               และในวันที่งานท่วมหัวแบบนี้ก็เช่นกัน




               เรากลับบ้านมาพร้อมกันตอน 5 โมงกว่าๆ ผมอาบน้ำและกินข้าวด้วยความเร็วแสง ก่อนจะระเห็จตัวเองออกมานั่งทำงานตรงนี้พร้อมกับปลั๊กไฟระโยงระยางจากข้างในบ้านออกมาข้างนอก ดูดบุหรี่ควันปุ๋ยพลางเร่งปิดงานที่จำเป็นจะต้องจบในคืนนี้ เพื่อพรุ่งนี้จะได้ไปพรูฟงานคนอื่นๆต่อ

               จริงๆแล้วผมไม่ได้สูบบุหรี่จัดๆมาหลายอาทิตย์แล้ว สถิติก่อนหน้านี้มันอยู่ที่ไม่ถึง 3 มวนต่ออาทิตย์ แต่พอมาเป็นอาทิตย์นรกแบบนี้ วันละ 2 มวนก็เหมือนจะไม่พอ ยิ่งตอนที่กลับบ้านมาแบบนี้ ความอยากนอน อยากพักยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิมจนสติสตังแทบจะไม่จดจ่ออยู่กับงาน ต้องรีบอัดนิโคตินเคลียร์สมองให้โล่งเพื่อจะได้มีสมาธิอยู่กับมันนานกว่านี้อีกนิด
     
               ผมจำได้ว่าผมออกมาทำตั้งแต่หกโมง ฟ้าเพิ่งครึ้มๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ความรู้สึกเย็นๆของอะไรบางอย่างแนบลงมาที่แก้ม และพอหันไปดูถึงได้รู้ว่ามันคือกระป๋องเบียร์ที่แจ็คสันมันคงเพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็นเมื่อกี้ และท้องฟ้าข้างนอกมันมืดหมดแล้ว
               เบียร์ทำให้ง่วง.. ผมไม่ค่อยอยากจะกินเท่าไหร่เพราะที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ ได้แค่บอกปัดมันไปพร้อมกับหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ในขณะที่คนตัวหอมกลิ่นสบู่ทิ้งตัวเองลงนอนข้างๆ


               “หนาว..”
               มันบ่นพึมพำ และโดยที่ไม่ต้องเดาผมก็พอจะรู้ว่าคนไม่เจียมแถวนี้ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงสั้นๆนั่นนอนอีกแล้ว

               “ไปนอนข้างในไป”
               ไม่ได้ไล่นะ แค่ไม่อยากให้หนาว แต่ก็คิดแหละว่ามันคงไม่ทำตาม นั่นแจ็คสันหวังเชียวนะ ไม่มีทางจะยอมฟังอะไรที่ผมขอสักเท่าไหร่หรอก

               “ไปนอนด้วยกันดิ”
               
               นั่นไง เดาผิดที่ไหน..

               “ทำงานอยู่น่า” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมนุ่มๆนั่น ซึ่งมันก็ดูจะชอบเหลือเกินถึงได้ขยับหัวไถมือผมกลับ “เพิ่ง… เฮ้ย สี่ทุ่มแล้วเหรอ?”
               เร็วชิบหาย ผมไม่เห็นรู้ตัวเลย
          

               “ก็สี่ทุ่มไง จะนอนแล้ว ไปนอนด้วยกันเร็ว”

               ดูมันเข้า งอแงป็นเด็กเลย.. พูดอย่างกับเคยนอนสี่ทุ่มเป็นประจำงั้นแหละ แต่ถ้าแจ็คสันได้ลงทุนมาอ้อนให้ไปนอนด้วยแบบนี้ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ
               และอะไรที่มากกว่านั้นก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก...



               “วันนั้นก็เพิ่งทำไปนี่”

               “ ‘วันนั้น’ นี่คือวันอาทิตย์ แล้วตอนนี้วันพฤหัสได้มั้ยล่ะ?” อีกคนยู่ปากใส่ผม เริ่มเบียดตัวเองขึ้นมาบนตักและผลักแลปทอปออกไปจนต้องรีบจับเอาไว้กันมันพลิกหล่นลงไป “งานรีบขนาดนั้น? เด็กในทีมมาร์คไม่เห็นรีบ”
     
               “ก็พรุ่งนี้ต้องไปตรวจงานคนอื่นไง” ผมอธิบาย บีบแก้มมันเล่นไปพลางเพราะถ้าไม่สนใจเสียบ้างเดี๋ยวมันจะงอแงไปมากกว่านี้ “ไว้ทำพรุ่งนี้เย็น โอเคมะ?”


               แจ็คสันถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ก่อนมันจะยันตัวขึ้นจากตักผม มือดันแลปทอปให้ลงไปวางอยู่บนโซฟา เบียดตัวเองเข้ามาใกล้และดึงผมเข้าไปจูบอย่างเอาแต่ใจ เนื้อตัวขาวๆหอมกลิ่นสบูที่เข้ามาใกล้จนแข้งขาเบียดกันอยู่บนโซฟาทำเอาผมตบะเกือบแตก ยิ่งแจ็คสันใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงนอนขาสั้นแบบนี้ สารภาพว่าแทบจะต้องหลับตาจูบ แบ่งสติไปควบคุมมือไม่ให้แตะลงไปอย่างสุดชีวิต เพราะถ้าเมื่อใดที่ผมทำ มันจะหยุดไม่ได้แน่ๆ

               “มาร์ค…” ไอ้เสียงอ้อนๆแบบนี้ก็เหมือนกัน แม่งล่อลวงกันสิ้นดี ใครพอจะมีมือเหลือให้ผมยืมมาปิดหูบ้าง? ไหนจะลูกตาวิบวับที่ช้อนมองอย่างจงใจนี่อีก รู้สึกเหมือนกำลังถูกยั่วซึ่งๆหน้าจนต้องหยิกขาตัวเองเรียกสติเอาไว้ “วันนี้ไม่ได้จริงๆเหรอ?”
     
               “พรุ่งนี้” ผมยืนยันคำตอบด้วยการกดจูบซ้ำเบาๆอีกทีบนปากนิ่ม “...ทำยันเช้าเลยก็ได้ นะ..”


               แจ็คสันหัวเราะคิกคัก เมื่อได้ยินสิ่งที่มันอยากจะได้ยินแล้วก็ย้ายก้นออกจากตักผม เดินกลับเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ และไม่ลืมจะทิ้งท้ายให้ผมรีบๆเข้าไปนอนบ้าง







-----------------------------------------------------------------------------------------







               ...ผมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าแจ็คสันไม่ได้ว่าง่ายขนาดนั้น

               เพราะแค่ 10 นาทีเท่านั้นที่ผมได้ทำงานหลังจากมันเข้าไป มือถือผมก็สั่นรัวเพราะข้อความจากแอพพลิเคชั่นที่ใช้อยู่ และแน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่น ไอ้เฮ้าส์เมทตัวดีที่นอนอยู่ข้างในนั่นไง มันเล่นส่งมาทั้งข้อความ ทั้งรูปสัพเพเหระจนโนติฟิเคชั่นเต็มจอ อยากจะเดินเข้าไปด่าเหมือนกัน
     
               แต่ถ้าผมเข้าไปแล้ว...ผมต้องกลับออกมาไม่ได้แน่ๆ

               สุดท้ายก็เลยได้แต่ปิดโนติฟิเคชั่นของมือถือชั่วคราว ปล่อยให้ข้อความมันเด้งรัวอยู่ที่แท็บในคอมพิวเตอร์แทน อย่างน้อยมันก็ไม่สั่นจนน่ารำคาญเหมือนเมื่อกี้ ยังพอให้ทำงานต่อไปได้อีกนิดหน่อย… ใช่ นิดหน่อยจริงๆ เพราะหลังจากที่ไม่สนใจมันนานเข้า จากแค่ข้อความทีนี้มาเป็นการคอล ซึ่งนั่นทำให้กรอบข้อความมันเด้งมาที่หน้าจอจนได้

               ชั่งใจอยู่สักพัก.. รู้นะว่าถ้ารับก็ยาวแน่ๆ แต่ถ้าไม่รับก็โดนกวนทั้งคืนเหมือนกัน
               เอาวะ รับก็รับ

               ผมกดปุ่มรับสายอย่างเสียไม่ได้ หรี่เสียงลงเพราะมันก็ดึกแล้ว แถมเผื่อแจ็คสันมันบ้าแหกปากเรียกผมเหมือนคราวนั้นอีกจะได้ไม่โดนข้างบ้านปาของใส่ หรือรั้วบ้านอาจจะพังได้โดยไม่รู้ตัว
               แต่แปลก หลังจากกดรับสายไปแล้วกลับไม่มีแม้แต่เสียงอะไรลอดออกมาให้ได้ยิน หรือมันโทรมาแกล้งเฉยๆ?


               คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆแล้วส่ายหัวอย่างระอา กำลังจะเลื่อนเม้าส์ไปกดวางอยู่แล้ว แต่เสียงแผ่วๆที่ลอดจากลำโพงทำให้ผมชะงัก
               เสียงลมหายใจ แต่เบาเหลือเกิน หรือมันหลับ?

               ความสงสัยนั้นทำให้ผมเพิ่งโวลลุ่มขึ้นอีกนิด และคราวนี้ จากเสียงแผ่วๆกลับดังขึ้นจนได้ยินเต็มๆหู


               “...อะ..อา…”
               “ฮะ.. อ่ะ..
               อื้ออ..”



               ผมสบถกับตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
               
     
               แจ็คสันมันไม่คิดจะให้ผมได้ทำงานคืนนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม!?

     
               ผมเกลียดนิสัยเอาแต่ใจนั่นเหลือเกิน เกลียดการคุยแล้วไม่เป็นไปตามนั้น เกลียดไอ้วิธีเรียกร้องความสนใจเด็กๆที่ใช้ แต่เกลียดยิ่งกว่าคือตัวเองที่ยอมทำตามเกมมันทุกอย่าง ถึงแม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องรีบตาแหกปิดงานจนไม่น่าจะได้กินข้าวเที่ยง แต่เสียงหอบหายใจสั้นๆนั่นก็ทำให้ผมโยนแลปทอปออกจากตัก ไม่แม้แต่คิดจะปิด ไม่สนด้วยว่าเซฟงานหรือยัง ถอดเสื้อและโยนมันทิ้งตั้งแต่หน้าประตูบานเลื่อนแล้วก้าวยาวๆเข้าห้องนอนทันที












               “อ๊ะ.. มาร์ค! อ่ะ! ตรงนั้น..”

               จังหวะกระแทกเอวของผมตอนนี้คงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แจ็คสันมันยอมเป็นเด็กดี มือเกาะหัวเตียงแอ่นสะโพกให้ผมทำอะไรๆกับร่างกายมันอย่างที่สั่งไปเมื่อกี้อย่างว่าง่าย และต่อให้ต้นขาขาวๆนั่นจะสั่นระริกแค่ไหน สะโพกแน่นนั่นก็ไม่เคยหยุดที่จะขยับสวนกลับมา ส่วนที่กระทบกระแทกกันของเราแดงเป็นปื้น โดยเฉพาะเนินเนื้อนุ่มที่เด้งสู้มือทุกครั้งที่จับขยำลงไป ยิ่งบีบคลึงเท่าไหร่แจ็คสันก็ยิ่งตอบสนองดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

     
               “อ้าขาอีก..”
     
               ผมพยุงเอวอีกฝ่ายขึ้นให้ได้ตำแหน่งที่พอดี ท่อนขาที่แยกกว้างขึ้นทำให้ผมสามารถส่งตัวเองเข้าไปได้ลึกกว่าเดิม และถ้าฟังจากเสียงครางที่ดังและสั่นเครือแทบจะขาดใจของแจ็คสันแล้วล่ะก็ สัมผัสเมื่อกี้คงจะโดนเข้ากับจุดที่มันชอบแน่ๆ
               ผมกดกระแทกย้ำลงไปซ้ำๆที่จุดเดิม ผนังด้านในบีบรัดอย่างบ้าคลั่ง แนบแน่นและรุ่มร้อนไปหมดจนอดครางบ้างไม่ได้ ดวงตาปรือปรอยที่หันมาสบเหมือนจะขอร้องนั่นยิ่งทำให้ผมใกล้เป็นบ้าไปทุกที เกือบจะลืมแล้วว่าจะทำอะไร แต่เมื่ออีกคนเรียกชื่อผมซ้ำ สติก็กลับมาอีกครั้ง


               มือที่เคยพยุงเอวอีกฝ่ายเอาไว้ละจากตรงนั้นข้างหนึ่ง เคลื่อนไปข้างหน้าพลางขยับเข้ากอบกุมส่วนหน้าของอีกคนเอาไว้ ได้ยินเสียงครางต่ำๆในลำคอของอีกคน ก่อนที่มันจะเปลี่ยนโทนเป็นครวญเครือทันทีที่ผมเริ่มบดปลายนิ้วลงไปเน้นๆ
     
               “มะ..มาร์ค ไม่เอา..”   
               “ขยับ.. อื้ออ.. อ่ะ ขะ.. เข้ามา..”

               คนใจร้อนที่ทนรอไม่ได้แม้แต่ครึ่งนาทีเริ่มโยกสะโพกเข้าออกด้วยตัวเอง แม้ว่าจะยากไปหน่อยกับท่วงท่าแบบนี้ แต่หัวเตียงที่อีกฝ่ายเกาะพยุงอยู่ก็เป็นจุดทรงตัวที่ดี และเมื่อผมกระแทกกลับไปเน้นๆทีหนึ่ง แจ็คสันก็แทบจะกอดโครงเหล็กตรงนั้นเอาไว้เป็นหลักยึด ความร้อนในอุ้งมือผมสั่นระริกและกระตุกเหมือนเจ้าของมันใกล้จะไปเต็มทน
     
               ปฏิกิริยานั้นทำให้ผมเพิ่มแรงที่กุมส่วนร้อนรุ่มนั้นมากขึ้นไปอีก กำแน่นตรงส่วนฐานเมื่อกระแทกร่างเข้าซ้ำอีกครั้ง เสียงครางแตกพร่านั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอยากจะผ่อนแรงแต่อย่างใด ยังคงบีบมันแน่น ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเสร็จก่อนเหมือนหลายๆครั้งที่เราทำกัน กระแทกร่างเข้าย้ำๆในจุดที่ทำให้อีกคนสั่นระริกไปทั้งร่าง ไม่เว้นแม้แต่ข้างในที่กำลังดูดกลืนผมเข้าไปจนสุดโคน กระชับแนบแน่นเสียจนทนต่อไม่ไหว ปลดปล่อยความต้องการในร่างอีกคนจนรู้สึกชุ่มไปหมด

               แต่แน่นอนว่าผมยังไม่ปล่อยมือข้างนั้นหรอก



               ผมถอนตัวออก พลิกร่างขาวๆที่ดูจะพยศน้อยลงจากรอบที่แล้วเพราะอารมณ์ที่พุ่งสูงให้หันมาประจันหน้ากัน แน่นอนล่ะว่ามือของอีกคนพยายามจะดึงมือผมที่กอบกุมตรงนั้นออก แต่แน่นอนว่าไม่ได้ผล

               เพราะแค่สอดร่างเข้าไปใหม่อีกครั้ง แจ็คสันก็แทบจะอ่อนยวบไปทั้งตัว ร่างขาวๆขยับไหวไปตามแรงกระแทก มือที่ว่าจะดึงออกจึงเหมือนแค่จับไว้เฉยๆเท่านั้น ครางเสียงกระเส่าสลับกับหอบหนักๆด้วยแรงอารมณ์ที่สุมล้นและไม่มีโอกาสได้ปลดปล่อย

     
               “อะ..มาร์ค...ปล่อยมือ.. ปล่อย..”
          
               “ไม่”

               ผมปฏิเสธทันทีอย่างใจร้าย มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดึงสะโพกอีกฝ่ายขึ้นวางบนตักก่อนจะบดร่างเข้าไปซ้ำอีกครั้งเน้นๆ ซึ่งนั่นทำให้คนที่อารมณ์พุ่งสูงเสียดฟ้าติดๆกันเป็นนาทีเกร็งไปทั้งตัว แผ่นหลังขาวแอ่นโค้งขึ้น มือไม้ดึงผ้าปูที่นอนจนหลุดติดมือขึ้นมา
     
               “...อยากดื้อนักนี่”


               “มะ..ไม่เอา.. ไม่เอาแล้ว!”
     
               เนื้อตัวขาวๆที่บิดเร่าบนที่นอนนั่นไม่ได้ช่วยให้ผมอยากจะปล่อยมือเลยสักนิด.. ตรงกันข้าม มันเร้าอารมณ์เสียจนอยากจะทำให้อีกคนอยู่ในสภาพนี้อีกสักพัก


               “เอาแต่ใจ..”
               “พูดอะไร.. เคยฟังบ้างมั้ย?”
     
               ผมบดร่างเข้าลึก ไม่แม้แต่จะเสียเวลาดึงออก ย้ำตัวเองอยู่บนเนินเนื้อนุ่มจนแจ็คสันสั่นสะท้านไปทั้งตัวและเอื้อมมือมาหวังจะดึงมือผมออก แต่ผมคว้าไว้ได้ทัน ตรึงมันไว้กับฟูกเหนือหัว ถอยสะโพกออกจนเกือบสุด และนั่นทำให้ตากลมโตนั่นเบิกกว้างขึ้น ร้องห้ามสุดเสียงเพราะรู้ว่าอะไรจะตามมา


               “อ๊ะะ มะ..มาร์ค..! อย่า..!”


               ช้าไป..
     
               ผมกระแทกย้ำเข้าไปจนสุด ไม่สนใจว่าใครจะจุกหรือเจ็บ เพราะหนักกว่านี้แจ็คสันมันก็เคยขย่มผมมาแล้ว แต่คงไม่ใช่ตอนที่อารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงขนาดนี้ ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าผมจึงได้ดูแปลกไปจากที่เคยเห็น

               แจ็คสันแทบจะทิ้งตัวเองลงกับฟูก แดงไปทั้งตัว น้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร ปากอิ่มแดงจนจะช้ำเพราะจูบของผมและเขี้ยวของเจ้าตัวที่ชอบกัดมัน ครางเสียงอ่อนเสียงหวานเป็นชื่อผม คร่ำครวญขอให้ผมปล่อย สลับกับการพร่ำซ้ำๆว่า ‘ไม่ทำแล้ว’ ไปมา ในขณะที่ข้างในยังคงบีบรัดจนแทบจะเสียผู้เสียคนในทุกๆวินาทีที่ผ่านไป




               ตอนแรก.. ผมก็ว่าจะแค่เตือนเบาๆเท่านั้นหรอก
               
               แต่ดูสิครับ...

               พอทำจริงๆดันน่ารักน่ารังแกขนาดนี้.. เรื่องที่ผมจะติดลมจนทำเกินไปหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ก็แล้วกัน








-----------------------------------------------------------------------------------------









               “แจ็คสัน…”
     
               “.....”
     
               “...ไม่งอนน่า”
     
               “.....”
     
               “..งั้นไปทำงานแล้วนะ”

     
               มือของใครบางคนเกาะเอวผมหมับทันทีที่พูดจบ ตากลมๆที่ขอบตายังแดงก่ำเพราะร้องไห้ติดๆกัน...ก็หลายนาทีอยู่นะเมื่อกี้ ตวัดมาจ้องผมเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
               ผมก้มลงจูบหน้าผากมันพลางยิ้มขำ แต่เหมือนอีกคนจะไม่ขำด้วย สะบัดหน้าหนีพร้อมกับเข้ามาซุกแถวๆอกกันเฉย ขายกขึ้นก่ายเอวผมแบบไม่แคร์ว่าอะไรจะโดนกับอะไรบ้างเพราะเราไม่มีเสื้อผ้าติดตัวทั้งคู่

     
               “..มาร์คแม่ง ซาดิสม์”
     
               เสียงบ่นพึมพำของคนที่ซุกตัวอยู่กับอกทำเอาผมขำพรืด อะไรกัน แค่นี้ต้องเรียกว่าซาดิสม์เลยเหรอ?


               “ไม่ขนาดนั้นมั้ง..”
     
               “ไม่ขนาดนั้นอะไรล่ะ ทำขนาดนั้นไม่เรียกซาดิสม์ให้เรียกอะไร!?”
     
               ปากแดงๆที่ยู่ขึ้นอย่างขัดใจกับหน้ายุ่งๆที่เพิ่งจะยอมเงยขึ้นมามองผมเป็นครั้งแรกหลังจากจบยกกับผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงนั่น.. น่ารักจริงๆ
               แต่ไม่บอกหรอกนะ..


     
               “ก็ดื้อเอง ช่วยไม่ได้” ผมยักไหล่ มือมุดลงไปใต้ผ้าห่ม กอดกระชับเอวอีกคนให้เข้ามาชิด “คราวหน้าก็อย่าทำดิ”
     
               “ไม่มีทาง”

               คำตอบแบบทันควันแทบไม่ต้องผ่านการคิดนั่นน่าอ่อนใจจริงๆให้ดิ้นตาย แต่แขนที่พาดลงมาบนบ่ากับจูบเบาๆที่ปลายคางนั่นทำให้ผมต้องเลิกคิ้ว ก้มลงมองคนในอ้อมแขนที่ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์กลับมาให้แล้วก็อยากจะขอเหนื่อยใจล่วงหน้าเพิ่มไปอีกอย่าง...

     
               “มีหน้าที่เอาแต่ใจก็ต้องเอาแต่ใจให้สุดสิ”       
               “ส่วนมาร์คมีหน้าที่ตามใจก็ต้องตามใจไปเรื่อยๆไง ดังนั้นหยุดดื้อไม่ได้หรอก เดี๋ยวมาร์คไม่มีงานทำ”






               คำตอบบ้าบอนั่นฟังดูแย่มากจริงๆ ผมได้ยินแล้วยังขำให้กับความไร้สาระของมัน

               ...แต่ให้ตาย


               ปฏิเสธไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำเลยว่ามันไม่จริง











เคยคิดไหมครับว่าคนเราเกิดมาทำไม
     
บางคนบอกว่าเพื่อทำอะไรดีๆ บางคนบอกว่าเพื่อทดลองอะไรใหม่ๆ หรือบางคนบอกว่าเราเกิดมาเพื่อใครสักคน
     
ซึ่งฟังดูแล้วก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลส่วนตัวและแตกต่างกันไปตามนิสัยของบุคคล




ถ้าถามผมน่ะเหรอ..
     
สารภาพว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเกิดมาทำไม แต่ถ้าดูจากภาพรวมของทั้งชีวิตแล้วล่ะก็...

     
บางทีผมอาจจะเกิดมาเพื่อตามใจแจ็คสันมันจริงๆก็ได้มั้ง?





-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments