BED FRIEND : 30



030



ผมไม่ค่อยคิดถึงอนาคต หรือวางแผนล่วงหน้าอะไรเท่าไหร่
     
เพราะผมเน้นใช้ชีวิตกับปัจจุบันให้เต็มที่ มากกว่าพะวงสิ่งจะที่เกิดขึ้นอนาคตที่ผมไม่รู้
     
และผมก็คิดเสมอว่าถ้าผมทำวันนี้ดีแล้ว อนาคตมันก็จะเป็นไปอย่างนั้นเช่นกัน ที่เหลือก็แล้วแต่ดวงแล้วล่ะ





               ถ้าจะพูดแบบนี้…
               เอามีมาแทงกันง่ายกว่าไหมมาร์ค?


               ผมหน้าแทบไหม้ ซุกตัวเองอยู่กับบ่ามาร์คมาเกินสิบนาทีแล้ว ต่อให้ลูกน้องมันจะลุกขึ้นมาเจอก็ช่างหัวมันแล้ว อะไรวะ มันเป็นบ้าอะไรถึงได้พูดอะไรแบบนี้? ใครเอาอะไรแปลกๆให้มันกิน? หรือมันทำงานจนเพี้ยน?

               “แจ็คสัน..”
               ยิ่งมันเรียก ผมยิ่งเกาะมันแน่นเป็นโคอาล่า ต่อให้เสียงหัวเราะนั่นมาอยู่ใกล้ๆหูผมก็ไม่คิดจะเงยหน้ามามอง “นี่เขินเหรอ?”
     
               ไม่เขินมั้ง? แม่งเอ๊ย พูดมาขนาดนี้นี่คาดหวังให้เขาทำหน้าตาแบบไหนวะ?
               
          

               คือ..มาร์คดูไม่ใช่ผู้ชายหวานๆหรอกครับ มันเป็นผู้ชายทื่อๆ หน้าตายๆที่บังเอิญหล่อเฉยๆ ในชีวิตผมผมก็เข้าใจแบบนั้นมาโดยตลอด แต่พอมาวันนี้ผมว่าผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ยกเซท มันเป็นผู้ชายทื่อๆที่หวานชิบหาย หวานจนใจสั่นเลยเนี่ย โอยย ใครก็ได้ บอกมันทีว่าอย่าไปทำแบบนี้ใส่ใคร มันไม่ดีกับหัวใจจริงๆนะ..

               ...โดยเฉพาะกับหัวใจผมนี่แหละ จะหลุดออกมาทางปากอยู่แล้ว


               “...แม่ง” ผมสบถเบาๆ ถอนหายใจเพื่อปรับสภาพตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนขึ้น “..ถามทำไม?”
          
               “ก็อยากรู้”

     
               เสียงแบบไม่เดือดไม่ร้อนของมันนั้นทำเอาผมไปต่อไม่เป็น ไม่รู้ว่ามันอยากรู้จริงๆหรือแค่กวนประสาทผมเล่นเฉยๆ จนผละออกจากบ่ามันได้อย่างปกตินั่นแหละถึงได้มีเวลามาจ้องหน้า สบตาคู่นั้นที่ไม่ได้มีแววว่าจะล้อกันเล่นอย่างที่คาดแล้วก็...เขินขึ้นมาอีกรอบ
     
               “ทำหน้าแบบนี้ก็เป็นด้วย?” เสียงหัวเราะของมาร์คกับมือที่แตะบนแก้มผมนั่นชวนหงุดหงิดเป็นบ้า แต่เมื่อหันไปเจอสายตาแบบนั้น… แบบที่มันมองผมในตอนนั้นที่เราอยู่ด้วยกันตอนเย็นก็ลืมคำพูดไปเสียหมด “...ทำไมน่ารักวะ?”

               ผมสิต้องเป็นคนถาม ทำไมมันน่ารักแบบนี้วะ? ทำไมต้องมองกันด้วยสายตาแบบนี้? ทำไมต้องยิ้มกว้างขนาดนี้? แล้วทำไมต้อง… มาเป็นเอาตอนนี้ ตอนที่ผมต้องแยกจากมันไปทำงานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า


     
               แล้วผมจะทนได้ยังไง?






-----------------------------------------------------------------------------------------






               “ลาบ่อยโดนหักเงินเดือนนะ..”
     
               “ไม่เป็นไร ใช้เงินมาร์คก็ได้” ผมยักไหล่ไม่แคร์ ในขณะที่คนข้างตัวหัวเราะร่วน หน้าตาตอนได้นอนมานิดหนึ่งของมันสดชื่นขึ้นกว่าเดิมเยอะจนผมอดไม่ได้ที่จะ..เป็นฝ่ายจูบแก้มมันก่อนบ้าง “มาร์คยังลาเลย.. อย่ามาบ่น”

               เราหัวเราะกันเบาๆ ก่อนที่มาร์คจะลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า ผมน่ะสลัดสูททำงานทิ้งตั้งแต่เข้าห้องมาแล้ว นอนไปพร้อมมันนี่แหละเพราะเมื่อวานได้นอน 2-3 ชั่วโมงเอง มัวแต่นอนไม่หลับกับคอลหาคนแถวนี้จนดึกดื่น ตอนนี้เหลือแค่ชุดนอนเท่านั้น
               แน่นอน คราวนี้ผมลางานอย่างเป็นทางการ ชี้แจงเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ไปสุ่มๆ หัวหน้าจะเชื่อหรือไม่ก็ช่างแต่ผมกลับบ้านมาแล้ว ผมว่าหลังจากนี้ผมน่าจะโดนเพ่งเล็งเรื่องวันหยุด เพราะมาร์คนี่แหละชอบล่อลวงให้ผมไม่อยากทำงานทุกที
     
               แล้วยิ่งคิดถึงประโยคของมาร์คนะ.. โอยย หน้านี่ยังร้อนอยู่เลย


               ‘อยากกอด อยากจูบ อยากอยู่ใกล้ๆ.. ไม่อยากให้ไปไหน’


               สารภาพว่าไม่มีใครพูดประโยคธรรมดาๆพวกนี้ได้น่ากัดลิ้นตายเพราะความเขินได้เท่ามาร์คจริงๆ คือถ้าเป็นคนธรรมดาคงพูดมาเฉยๆแหละครับว่ารัก หรือชอบ หรืออะไรเทือกนั้น แต่มาร์คไม่ใช่ มันยอมพูดประโยคยาวๆพวกนี้ออกมา และถ้าผมเดาไม่ผิด...
               มันก็แค่ไม่รู้ว่าที่มันรู้สึกนั่นหมายถึงอะไร..

               เอาจริงๆ ‘คิดถึง’ มาร์คก็ไม่เคยพูดหรอก มันพูดแต่ ‘อยากเจอ’ ซึ่งผมก็ว่ามันดูเป็นมาร์คดี มันไม่ได้แค่คิดเฉยๆ มันอยากเจอมากกว่ามันเลยพูดแบบนั้น และมันก็ดูเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะหลังจากที่เราเจอกันมันก็แทบจะดึงผมเข้าไปหาโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น..
               ...ไอ้บ้า
     
               ผมไม่เกลียดนะที่มันเป็นแบบนี้ ออกจะชอบด้วยซ้ำในความตรงๆของมัน ถ้าไม่นับความเล่นตัวก่อนหน้านี้ล่ะก็ผมว่ามันก็โอเค.. เห็นว่าหล่อหรอกนะถึงได้ยอม แค่เล่นตัวเบาๆ 25 ปีเอง ถือว่าคุ้ม





               พอคิดถึง 25 ปีที่ผ่านมาของเราผมก็อดขำไม่ได้ บ้าดีเหมือนกันที่เรามาไกลขนาดนี้ คือตอนเด็กๆเราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ คิดแต่ว่าจะได้เล่นกันทุกวัน พอโตขึ้นมาเราก็แยกกันไปมีคนอื่น แต่สุดท้ายมันก็ไม่รอด แล้วเราก็กลับมาอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม ...อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

               บางทีมันก็อาจจะกำหนดมาแล้วมั้งว่าเราต้องเป็นแบบนี้?

               จะด้วยฝีมือใครหรืออะไรก็ช่าง แต่ผมก็อยากจะเชื่อว่าเป็นแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะได้อยู่ด้วยกันนานขนาดนี้เลยเหรอ? คุณคิดดูว่าขนาดเรียนในโรงเรียน ผมกับมาร์คยังไม่เคยอยู่คนละห้องมาก่อนเลยด้วยซ้ำตั้งแต่ประถมจนมัธยม สอบติดก็ติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน.. โอเค อันนั้นเพราะเราเลือกสอบที่เดียวกันเอง แต่ก็นั่นแหละ เราก็ติดไงครับ แล้วเราก็ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนที่ทำงาน

               แล้วทำไมเราไม่รักกันตั้งแต่แรก?
               
               อันนี้ผมก็ไม่รู้.. ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ผมว่ามันก็ดีแล้วที่เราไม่ได้รักกันแต่แรก เพราะเราอาจจะจากกันเร็ว และไม่ได้เป็นแบบนี้แน่ๆ สารภาพว่าตอนแรกผมก็ไม่ได้มองมาร์คในมุมนี้ มาร์คเป็นเพื่อนสนิทของผม มาร์คเป็นคนที่ยอมผมทุกอย่าง มาร์คเป็นคนที่ให้ความสำคัญผมก่อนใครทั้งหมด.. และนั่นทำให้ผมชินเสียแล้วที่มันจะอยู่ตรงนั้นเพื่อผม
     
               จนกระทั่งอายุ 13 ผมคบกับโจวมี่..
               ผมรู้มาสักพักแล้วแหละว่าตัวเองไม่ชอบผู้หญิง ผมไม่รู้สึกอะไรเลยกับเรือนร่างของพวกเธอ แต่ตอนนั้นโจวมี่ดันน่ารักสุดๆในสายตาผม และแน่นอน ผมก็มีความสุขดีแหละกับการเดทกับโจวมี่...จนกระทั่งมาร์คคบกับนิโคล
               เปล่า ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมโดนแย่งมาร์คไปถึงได้รู้ตัวว่ารู้สึกอะไรกับมันหรอก มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น ตรงกันข้าม…

               มาร์ค.. ต่อให้เป็นมาร์คที่มีแฟนแล้ว แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับผมก่อนใครอยู่ดี


               มันยังนอนดู NBA ย้อนหลังกับผมทั้งวันทั้งที่วันนั้นแฟนชวนไปเดท มันยังไถสเกตบอร์ดกลับบ้านกับผมตอนบ่ายสามโมงทั้งที่วันนั้นนิโคลบอกว่าให้รอเธอหน้าห้อง มันปฏิเสธนิโคลที่ชวนไปช้อปปิ้งทันทีเพราะเราตกลงกันแล้วว่าจะไปดูสตาร์วอร์ส์กัน

               มันเป็นความรู้สึก..ดี ไม่รู้สิ แต่มันดี มีแฟนเป็นโจวมี่ก็ดีหรอก แต่มีมาร์คด้วยก็ยิ่งดีไปใหญ่
  
   
               และมาร์ค.. ต่อให้คบกับนิโคล แต่ผมก็ไม่เคยแคร์นะที่จะดึงมันออกมาใช้ชีวิตกับผมแบบที่เราเคยเป็น และส่วนมากผมก็ยังเลือกที่จะอยู่กับมันมากกว่า เพียงแต่ผมเป็นคนไม่ค่อยปฏิเสธใคร.. เวลาโจวมี่ขอให้ผมไปไหนด้วยผมก็มักตกลง จึงกลายเป็นว่าผมใช้เวลากับโจวมี่มากกว่ามาร์คเสียอย่างนั้น
               แต่มาร์คก็ยังไม่ไปไหน และผมก็ดันยังอยากมีมันต่อไปเรื่อยๆ

               ...ตรงนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์พิลึกพิลั่นของเรา




               เราจูบกันตอนไหน.. จำไม่ได้ รู้แต่เซ็กส์ครั้งแรกคือตอน 15 และมันก็ทวีความบ่อยและเร้าใจไปในทุกๆปี
               เซ็กส์ของมาร์ครุนแรงเสมอ เร่าร้อนแผดเผา ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจแต่มันดีจนเคยมีช่วงหนึ่งที่ผมทำกับคนอื่นไม่ได้ ซึ่ง.. อันนี้อย่าไปบอกมันเชียว บางทีผมก็หลับหูหลับตาทำไปบ้าง จินตนาการเสียงมาร์คบ้าง สัมผัสรุนแรงที่มันมักจะทำบ้าง ...แล้วก็เสร็จขึ้นมาซะเฉยๆ
               หลังๆนี้ผมก็เป็นอยู่บ้าง.. บางครั้ง บางครั้งเท่านั้น แต่ไม่เคยถึงขนาดยอมให้ใครใส่เข้าไปหรอกนะ
     
               นั่นแหละ.. พอเซ็กส์ครั้งแรกผ่านมาได้ มันก็มีครั้งที่สอง สาม สี่ ไปจนถึงตอนนี้ถ้าแตะหลักพันได้ก็ไม่แปลกใจ ผมคิดว่าเราเสพติดร่างกายของกันและกันมากกว่าอย่างอื่น และไม่เคยคิดเลยว่านอกจากเซ็กส์เฟรนด์ กับเบสท์เฟรนด์ที่เราเป็นตั้งแต่แรกแล้วเราจะเป็นอย่างอื่นได้อีก
     

               แต่เปล่า เรายังเป็นรูมเมทกันได้อีกอย่าง
     
               เราทะเลาะกัน...บ้าง แต่สุดท้ายเราก็ไม่เคยแยกกันไปไหนได้ ใช่ เพราะมันอาจจะอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกน่ะครับ ใครบางคนกำหนดมาแล้วว่าเราต้องอยู่กันแบบนี้ ต่อให้ไปอยู่กับใครกี่สิบกี่ร้อย นอนกับคนมากหน้าหลายตา เดทกับใครกี่พันครั้ง สุดท้ายแล้วเราก็จะต้องกลับมาหากันพร้อมกับเบียร์ 2 โหลเป็นธรรมเนียม ดื่ม แล้วก็ลืมๆเรื่องที่ผ่านมาซะ ใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม


               ตอนแรกผมคิดว่าเราจะเป็นอย่างนั้นไปจนตายซะอีก






-----------------------------------------------------------------------------------------






               มาร์คออกจากห้องน้ำมาพลางเขย่าเรียกผมที่นอนขดเป็นด้วงในผ้าห่ม มือมันโคตรเย็น แต่พอเอามาแนบๆแก้มก็รู้สึกดีไปอีกแบบจนต้องดึงค้างไว้แบบนั้น ก่อนที่มันจะเลี่ยงไปใส่เสื้อผ้า
     
               อืม.. ตอนแรกที่เราซื้อห้องนี้ก็เพราะมันมีห้องนอน 2 ห้องนี่แหละ แต่เพราะเหตุนั้น เตียงมันเลยเล็กมาหน่อย แต่ถึงแบบนั้นตอนนี้ผมก็ไม่เสียใจหรอกนะ นอนเบียดๆกันมันก็อุ่นดี แล้วพอเตียงแคบ.. มาร์คมันจะได้ไม่มีช้อยส์อื่นนอกจากต้องนอนกอดผม เป็นไง ดีไหม?
               
               แต่ห้องผมนี่สิ จะเอาไปทำอะไรดี
               ไว้ค่อยคิดกับมันก็แล้วกัน

     
               ผมหันไปมองมาร์คที่หยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ลวกๆ กับกางเกงย้วยๆหนึ่งตัว ก้มลงจะหยิบเอากางเกงยีนส์ที่ถอดเมื่อกี้ไปใส่จะกร้าซัก แต่ไลท์เตอร์สีเงินนั่นก็ร่วงลงมาจากกระเป๋า..

               “มาร์ค”
               ผมเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ขณะที่ก้มลงไปเก็บวัตถุสีเงินทรงเหลี่ยมนั่น เอ่ยประโยคเดิมๆที่ใช้มาตลอด

               “ไปสูบบุหรี่เป็นเพื่อนหน่อยดิ”







               ควันสีขาว กลิ่นช็อคโกแลตกับมินท์ และคนผมเทาๆยุ่งๆที่ยืนอยู่ข้างๆ..
     
               ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ จากวันแรกๆที่เราสูบบุหรี่ด้วยกัน ท่าทาง ยี่ห้อบุหรี่ สถานที่ปลอดโปร่งที่มองไปเห็นยอดตึก ความเป็นเพื่อน ความเป็นเซ็กส์เฟรนด์ ความเป็นรูมเมท.. ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม
               
               แล้วอะไรล่ะเปลี่ยนไป?
     
               ผมมองหน้ามาร์คแล้วก็อยากจะขำ ไม่รู้เหมือนกันว่ามาร์คมันเคยจินตนาการวันนี้ไว้รึเปล่า แต่คิดว่าไม่หรอกนะ ไม่งั้นมันจะหนีผมสุดชีวิตทำไม? แต่เหตุผลพวกนั้นน่ะช่างมันเถอะ ผมไม่สนใจหรอก
          


               “นี่มาร์ค…”
     
               “หืม…?”
     
               “ที่ถามเมื่อตอนเช้าน่ะ..”
     
               มันเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่า ‘แล้วไง?’ หรืออะไรทำนองนั้น

               “...ตอบไม่ได้อ่ะ”
               มาร์คหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกปัดว่าไม่เป็นไรอย่างไม่ติดใจอะไร เสียบบุหรี่มินท์นั่นเข้าปากอีกครั้ง


               จากวันนั้นถึงวันนี้..ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเปลี่ยนไปบ้างระหว่างเรา จากวันที่เราเจอกันวันแรก รู้จักกันครั้งแรก เรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เข้าทำงาน จูบแรก เซ็กส์แรก ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงคลุมเครือ มาจนถึงวันนี้ ให้ผมนึก ผมนึกไม่ค่อยออกหรอก มันนานเกิดไป รายละเอียดมันเยอะเกินไป

               “แต่ว่า…”
               ความรู้สึกของผมในวันนี้น่ะนะ..


               “...ก็อยากเจอเหมือนกัน”
     
               “อยากกอด อยากจูบ อยากให้จูบด้วย กัดก็โอเค.. แต่อย่าแรง”

     
               ผมได้ยินเสียงมาร์คหัวเราะพรืด มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก...ที่ผมไม่อยากจะนิยามมันเลย แต่มันมองแล้วมีความสุขเป็นบ้า อบอุ่นยิ่งกว่าอะไร หวานยิ่งกว่าสิ่งไหน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูดเข้าไปยังไงอย่างนั้น
               และจะให้ผมแลกอะไรกับการได้เห็นสายตาแบบนี้ของมาร์คไปจนตายผมก็ยอม.. ยอมแบบไม่ต้องคิดด้วยนะ

               “ชอบให้ลูบหัว ชอบให้เข้ามาวอแว ชอบเวลามากวนตีนด้วยแหละ.. ถึงสุดท้ายจะอยากเตะก็เถอะ”
     
               “โกรธก็อยากให้มาง้อ เวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจก็อยากไปงอแงใส่”
     
               “อยากทำตัวเอาแต่ใจกับมาร์ค..”


               “แบบนี้...นับว่าคล้ายๆกันได้ป่ะ?”




               ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากมาร์ค ส่วนหนึ่งก็เพราะเสียงหัวเราะของผมมันดังกลบนั่นแหละ
               ให้ตายเถอะ.. มาร์คเขินแม่งโคตรน่ารัก
     
               แต่ผมไม่บอกหรอกนะว่าเป็นยังไง


               ...หวง


               เราจูบกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีควันแล้ว มันก็เลยยาวกว่าเมื่อกี้แบบเทียบกันไม่ติด ถ่ายทอดคำพูดที่เราจงใจข้ามมันไปแบบโคตรจะเล่นตัวผ่านริมฝีปาก










ผมไม่ค่อยคิดถึงอนาคต หรือวางแผนล่วงหน้าอะไรเท่าไหร่
     
เพราะผมเน้นใช้ชีวิตกับปัจจุบันให้เต็มที่ มากกว่าพะวงสิ่งจะที่เกิดขึ้นอนาคตที่ผมไม่รู้
     
และผมก็คิดเสมอว่าถ้าผมทำวันนี้ดีแล้ว อนาคตมันก็จะเป็นไปอย่างนั้นเช่นกัน ที่เหลือก็แล้วแต่ดวงแล้วล่ะ



ผมไม่เคยจินตนาการเรื่องอนาคตของผมกับมาร์คเลยเหมือนกัน
     
ขนาดเราที่คิดว่าจะเป็นแค่เพื่อน… มันยังไม่ ‘แค่เพื่อน’ เลย
     
ที่ว่าจะเป็นแบบนี้มันก็คงไม่เป็นแบบนี้ไปตลอด สักวันอะไรๆมันก็คงเปลี่ยนไปจากวันนี้…



ก็เอาเป็นว่า.. ถ้าเห็นเราแจกการ์ดเมื่อไหร่ก็มาด้วยละกันนะครับ








---------------------------------------------- END -------------------------------------------





LI5HT

Comments