BED FRIEND : 029



029


มีหลายอย่างที่ผมคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป
     
ไม่รู้สิ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูดหรือเขินอายอะไรหรอก แต่บางทีมันก็ไม่ชินปากเท่าไหร่
     
อย่างเช่น... การจะเรียกแจ็คสันเป็นอย่างอื่น นอกจาก ‘เพื่อน’ นั่นแหละ





               พักนี้เหมือนนิโคลจะสนใจเรื่องผมกับแจ็คสันเป็นพิเศษ..
     
               ไม่รู้ว่าเธอมีคนรู้จักอยู่ในแผนกโฆษณาหรือยังไง แต่ดูเธอจะรู้อะไรไม่มากก็น้อย อย่างเช่นเรื่องที่แจ็คสันใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกับผมทั้งๆที่แจ็คสันไม่เคยลงมาที่นี่เลยตั้งแต่เปลี่ยนน้ำหอม แน่นอน เธอแซว แต่ผมไม่แคร์หรอก ก็นั่นน่ะความจริง..


               เพื่อนกันใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันแปลกตรงไหน?

     
               และเมื่อผมพูดแบบนั้นออกไป นิโคลก็ขำซะลั่นจนเด็กทั้งแผนกมอง ผมเองก็มองนะ..ด้วยสายตาเอือมๆนี่แหละ อะไรมันจะต้องตลกขนาดนั้นวะ?    
               “ทำตัวเป็นเจ้าของขนาดนี้ยังเรียกเพื่อนเหรอ?”
               “เพื่อน..” ผมตอบ พลางยักไหล่ไม่สนใจหน้าตาล้อเลียนนั่น “...จะยังไงก็เรียกเพื่อน โอเคมั้ย?”


               เธอส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนใจ โอเค ผมเข้าใจว่าเธอคงมองพวกเราเหมือนคนบ้าที่รั้นหัวชนฝา แต่ถ้าไม่เรียกเพื่อนผมก็ไม่รู้จะเรียกอะไร ไม่สิ ไม่อยากเรียกเป็นแบบอื่นมากกว่า เหมือนเคยชินไปแล้วกับสถานะนี้ และไม่คิดจะเปลี่ยนมันเป็นอะไรอื่นนอกจากนี้
     
               “ทั้งๆที่รักกันขนาดนี้เนี่ยนะ?”

               ...รักเหรอ?
               ไม่รู้หรอก
     

               ผมรักแจ็คสันไหม? ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ รักคืออะไรผมก็ยังไม่เข้าใจเลย รู้แต่ว่าแจ็คสันคือคนที่ผมจะขาดไม่ได้เลยในชีวิต คืออะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมเป็นผมอยู่ได้ในทุกๆวัน คือคนที่ผมให้ค่ามากกว่าใครทั้งหมดแม้แต่ตัวเอง
     
               ..นั่นคือความรู้สึกของผมต่อแจ็คสัน ที่ไม่รู้ว่ามันจะนับเป็นอะไร
               แต่ผมรู้ว่าอีกฝ่ายก็น่าจะคิดไม่ต่างกัน



               “ไม่รู้..” ผมถอนหายใจ “รักหรือไม่รักก็ไม่เห็นจำเป็นซะหน่อย..”
               
               มันอาจจะเพราะเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ คำหวานหูเลยไม่ค่อยจะเข้ากันกับนิสัยของเราเท่าไหร่
               หวานที่สุดที่ผมเคยพูดกับมันน่าจะเป็น “อยากเจอ..” แต่มันก็แค่นั้นแหละ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ก็อยากเจอ เลยบอกว่าอยากเจอ มันก็แค่นั้น แต่คำว่ารักเนี่ย..ผมไม่เข้าใจตั้งแต่ความหมาย การจะพูดออกไปเลยเป็นสิ่งที่ออกจะเหนือความสามารถไปมากหน่อย

               แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นขนาดนั้นไม่ใช่เหรอครับ? ในเมื่อเราก็ยังอยู่ด้วยกัน





-----------------------------------------------------------------------------------------





               คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราไม่ได้นอนด้วยกันในรอบ 2 หรือ 3 เดือน
     
               จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดนักหรอกครับสำหรับแผนกผม การที่งานปิดไม่ลงจนต้องค้างที่บริษัทน่ะไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งจะทำ ไม่อย่างนั้นหัวหน้าแผนกคงไม่ยอมให้พวกเราใส่เสื้อยืดกางเกงนอนเดินไปมาในบริษัท นั่นไม่ได้หมายความว่าเราทำงานไม่มีประสิทธิภาพจนต้องโต้รุ่งนะ แต่คุณก็รู้ เรื่องบั๊กของระบบน่ะมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ต่อให้เราจะวางแผนดีแค่ไหนก็ตาม หรือบางทีก็มาจากพวกแฮคเกอร์มือบอน


               รุ่นน้องร่วมทีมผม 3-4 คนยังคงนั่งประจำที่ ทุกคนอยู่ในชุดทำงานเหมือนเมื่อเช้านั่นแหละ ไม่มีใครว่างพอที่จะสละเวลาไปอาบน้ำทั้งนั้น ขนาดนิโคลเองก็ยัง แต่ผมจัดงานให้เธอแล้ว ถ้าปิดส่วนของตัวเองทันก่อนเที่ยงคืนก็ให้เธอกลับไปก่อน ส่วนไอ้ที่เหลือน่ะ..ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ายันสว่างอีกเหมือนเคย
               แจ็คสันน่ะเหรอ? นู่น กลับไปตั้งแต่ตอนทุ่มนึงได้แล้ว จริงๆมันก็ตั้งท่าจะลากผมกลับบ้านนี่แหละ ถึงขั้นลงทุนว่าจะอยู่รอ แต่พอผมยืนยันว่าวันนี้ยังไงก็ต้องนอนที่นี่จริงๆมันก็ยอมฟัง...บ้าง ก็แบบว่าฮึดฮัดๆนิดหน่อย ดึงผมไปจูบแรงๆจนปากเกือบแตกอยู่สิบนาทีก่อนจะยอมปล่อยผมลงมาจากดาดฟ้า


               เอาจริงๆผมก็ไม่ได้อยากจะไม่กลับหรอกนะ คุณก็รู้ว่าผมชินแล้วที่จะอยู่กับมันแบบเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ยิ่งกว่ายาประจำตัว แต่คำว่างานมันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ และต่อให้ผมรีบให้ตายแค่ไหน มันก็น่าจะเสร็จหลังเที่ยงคืนแน่ๆ รถไฟฟ้าก็ไม่มีแล้ว สู้นอนบริษัทเอาเลยดีกว่า
               ผมอาจจะฟุ้งซ่านไปบ้างเป็นช่วงๆ ประมาณ 2-3 นาที แต่ด้วยความเร่งของงานทำให้ผมต้องจดจ่อ ส่วนแรกของงานเพิ่งผ่านไป แต่อีก 2 ส่วนที่เหลือนั่นอาจจะต้องใช้เวลานานกว่า มือหนึ่งผมพิมพ์งาน อีกมือคีบอาหารที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อหรือรสชาติเข้าปากไปพลาง จำไม่ผิดไอ้กล่องนี้อยู่มา 2 ชั่วโมงแล้ว ทำไมไม่หมดซะทีก็ไม่รู้


               ผมเร่งสปีดงานตัวเองไปจนถึงเกือบๆเที่ยงคืนโดยไม่ได้ละสายตาจากจอแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อเคาะบรรทัดสุดท้ายลงได้ ผมก็แทบจะทิ้งตัวลงกับพนักเก้าอี้ ถอนหายใจยาวเหยียด หลับตาเพื่อพักมันเสียหน่อยหลังจากการใช้งานแบบไม่ปราณีปราศรัยติดๆกันเกิน 6 หรือ 7 ชั่วโมงนี่แหละ
               
               นอนหลับตาอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ จำได้ว่าได้ยินเสียงนิโคลบอกลาคนอื่นๆพร้อมกับเสียงเก้าอี้เลื่อน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เที่ยงคืนกว่าแล้วมั้ง?
               เด็กพวกนั้นจะงานเสร็จรึยัง?
     
               แจ็คสันจะนอนรึยังนะ?



               มันเป็นคืนที่บรรยากาศเหมือนกับวันที่ผมเพิ่งเคลียร์งานกองใหญ่พ้นไปเมื่อท้ายปีก่อน.. คืนที่แจ็คสันออกไปหาพี่ยองแจ และผมก็นั่งมองฟ้าอยู่ที่ระเบียงคนเดียว ไม่รู้สิ อาการน็อตหลุดของผมมันคงมาในเวลาแบบนี้ เมื่อตอนที่เร่งใช้พลังชีวิตจนถึงขีดสุด ผมก็จะแบตหมด ไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากขยับตัว รู้สึกอ่อนแอเศร้าซึมขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
               
               ...และผมอยากเจอแจ็คสัน

               ผมจำได้ว่าคราวก่อนผมนั่งตากลมจนเผลอหลับอยู่ตรงระเบียง และแจ็คสันซื้อเบียร์กลับเข้าห้องมาราวๆสามหรือสี่ทุ่ม เรานั่งดื่มด้วยกันจนเกือบๆเที่ยงคืน ก่อนที่อะไรๆจะจบบนเตียงอีกแล้ว
               แต่คืนนี้มันคงไม่เป็นแบบนั้น
     

               ถึงแจ็คสันจะไม่ได้มีนัดกับใครที่ไหน แต่ผมก็รู้สึกเหมือนตอนที่นั่งอยู่ตรงระเบียงไม่มีผิด
               เหงาจนเศร้า..

               
               ไอ้กลุ่มเด็กที่ตั้งหน้าตั้งตาคีย์โค้ดอยู่ข้างหลังไม่มีผลอะไรกับอารมณ์ดิ่งๆของผมแม้แต่น้อย และผมก็รู้ว่า...คราวนี้ ถ้าไม่เช้า ผมก็คงไม่ได้เจอหน้ามันแน่ๆ






               “...มาร์ค พี่มาร์ค พี่มาร์ค!

               เสียงตะโกนเรียกจนผมตื่นจากภวังค์เคลิ้มๆใกล้หลับมาจากกลุ่มเด็กข้างหลัง และเมื่อตอนที่ผมถามมันกลับไปว่ามีอะไรทั้งที่ยังไม่ลืมตา พวกมันก็พร้อมใจกันตะโกนขึ้นมาว่า ‘โทรศัพท์’ เสียอย่างนั้น..
               ผมควานหาเครื่องมือสื่อสารนั้นอย่างเสียไม่ได้ ปกติในเวลาที่ต้องทำงานจนลืมตายแบบนี้ ผมจะเปิดอนุญาตให้ไม่กี่เบอร์ที่สามารถติดต่อได้ หัวหน้า แจ็คสัน และอีกอันก็...น่าจะพ่อมั้ง?

               ผมคิดว่าน่าจะเป็นพ่อ คำนวนเวลาประมาณนี้ ที่อเมริกาน่าจะกำลังสายๆ พ่ออาจจะโทรมาก็ได้ ถึงจะเพลียจนไม่อยากจะกดรับ แต่สุดท้ายก็หลับหูหลับตาเลื่อนสไลด์รับสายอยู่ดี ไว้คุยสัก 2-3 นาทีค่อยขอวาง
               “Hi..”
               ผมทักเสียงเบา เตรียมตัวจะบอกว่าผมยุ่งและง่วงมากไว้จะโทรกลับทีหลัง แต่ว่าเสียงแหบห้าวที่ดังจากปลายสายก็ทำเอากลืนประโยคดังกล่าวกลับเข้าคอไม่ทัน
     
               “มาร์ค… งานเสร็จยัง?”

               ผมลืมตาขึ้นมาทันที รู้สึกตื่นแบบ.. ตื่นอ่ะ อยู่ดีๆก็ไม่ง่วงเท่าไหร่แล้วขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อกี้เสียงยานคางจะหลับแล้ว
               “มาร์ค.. เฮ้ย หลับป่ะวะ?”     
               “ไม่ๆ.. ตื่น..” ไม่รู้ทำไมผมต้องรีบบอกมันว่าไม่หลับแบบนั้นนะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน “เสร็จแล้ว รอพรูฟของคนอื่นเฉยๆ.. มีอะไรรึเปล่า?”

               ปลายสายหัวเราะเบาๆ ผมนึกออกเลยว่าตอนนี้แจ็คสันมันคงกำลังยิ้มเยาะผมอยู่บนที่นอนแน่ๆ
               “โทรมาเฉยๆไม่ได้? แอบทำอะไรกับนิโคลอยู่ป่ะเนี่ย หือ?”

               “แจ็คสัน…”
     
               “ล้อเล่นนน” เสียงหัวเราะเบาๆนั่นทำเอาผมอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจไม่ได้ ใช่เวลามั้ยล่ะ ไม่ตลกนะตอนนี้ เหนื่อยจะแย่ “...แบบว่า นอนไม่หลับอะ”
     
               “นอนเตียงดีๆยังไม่หลับอีก?”
     
               “ก็มันไม่มีคนกอดนี่หว่า..”
               “มาร์คกลับบ้านมะ? เดี๋ยวขับไปรับเลยเอ้า”
     
     
               ผมถอนหายใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ช่วยไม่ได้เลยที่จะยิ้มออกมาด้วย “ดึกแล้ว ไม่ต้องมาแล้ว”
               ถ้าให้เดา ตอนนี้แจ็คสันมันคงกำลังทำหน้าบูด ยู่ปากเป็นปลาทองแบบที่มันชอบทำใส่ผมเพราะรู้ว่าผมจะตามใจ.. แต่เสียใจ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ข้างๆ มันคงไม่สามารถทำอะไรผมได้มากเท่าไหร่


               “มาร์คคคค..” หางเสียงที่ลากเสียยาวนั่นมีความงอแงอยู่ที่เลเวล 3000 งอแงจนผมหลุดหัวเราะออกมา “..คอลกันๆ วิดีโอคอลกัน”
               “เอาจริง?” ผมหัวเราะ แต่ไม่บอกหรอกนะว่ามือน่ะหยิบหูฟังออกมาแล้ว “ไม่นอนแล้ว?”
               “คอลก่อน เดี๋ยวค่อยนอนทีหลังก็ได้ นะๆๆ”



               สุดท้ายคุณก็รู้ว่ามันจะจบอย่างไร
               แน่นอน แจ็คสันหวังวิดีโอคอลกับผมยันตีสอง ทั้งไล่ ทั้งขู่ ทั้งขอร้องให้นอนเป็นสิบครั้งกว่ามันจะยอมวาง แต่ก็ไม่วายกำชับผมให้รับโทรศัพท์มันด้วยตอนเช้า เพราะมันจะเกาะรถไฟฟ้ารอบแรกมาที่ทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่ง เว่อร์จนอดขำไม่ได้ แต่ผมไม่ได้ห้ามนะ
     
               และเมื่อผมกลับเข้าห้องไปได้ เด็กในแผนกผมก็ตายเรียบคาคอมพิวเตอร์กันยกชุด ปล่อยผมไล่พรูฟงาน ก่อนจะปิดไฟนอนฟุบอยู่กับโต๊ะตอนตีสามนิดๆ รอเวลาหกโมงครึ่งให้มาถึงเร็วๆ..





-----------------------------------------------------------------------------------------





               “มาร์ค…”
     
               “..มานี่” ผมกวักมือเรียกคนบางคนที่ผลักประตูเข้ามาแบบลังเล “เบาๆนะ..”


               ไม่อยากจะเชื่อว่าแจ็คสันมันมาบริษัทตั้งแต่หกโมงจริงๆ ในหน้าหนาวแบบนี้ฟ้ายังไม่สางดีด้วยซ้ำ ผนวกกับแผนกเราที่ปิดม่านปิดไฟนอนเกลื่อนกลาดกันหลังโต๊ะแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแทบจะมืดสนิท มีเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ของผมที่ปรับโหมดถนอมสายตาสูงสุดส่องอยู่บนโต๊ะ แจ็คสันมันถึงพอจะเห็นบ้างว่าอะไรเป็นอะไร
               
               ผมตื่น..ไม่สิ เรียกว่าไม่ได้นอนก็ได้ แต่ก็ลุกไปล้างหน้าแปรงฟันเอาตอนประมาณตีห้านิดๆ ผมโต้รุ่งข้ามคืนเป็นกิจวัตร เกินตีสองมาได้ก็ยาวไปได้ทั้งวัน อาจจะนอนตอนเที่ยงก็ได้.. แต่ผมอยากจะตื่นมาเจอคนแถวนี้ถึงได้ยังไม่ค่อยอยากหลับ


               แจ็คสันในชุดสูททำงานแบบที่เห็นทั่วไป ตัวหอมฟุ้งด้วยกลิ่นน้ำหอมประจำของผม เข้ากันได้ดีเกินไปจนอดที่จะดึงเข้ามากอดไม่ได้ และดีกว่าอะไรคือมันไม่ดิ้นปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย แถมยังสอดแขนเข้ามากอดผมกลับด้วยต่างหาก
               “เหนื่อยมะ?” ผมพยักหน้าตอบคำถามที่เบาเหมือนเสียงกระซิบนั่น และเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังขึ้นเบาๆ “ง่วงอ่ะ.. ตื่นเช้าเกิน”
               ผมจูบเบาๆบนปากนิ่มๆนั่น แค่แตะเท่านั้น ไม่มีแรงทำอย่างอื่น แต่แจ็คสันก็ยิ้มเสียกว้าง จัดท่าทางตัวเองให้นั่งตักและหันหน้ามาหาผมได้ถนัดขึ้น พึมพำเสียงเบาทั้งที่ปากเรายังแตะกันไปมา “หนวดทิ่มอ่ะ.. จักจี้ว่ะ”
     
               ไม่มีอะไรนอกจากเสียงหัวเราะของเราที่เบาอย่างกับกลัวใครจะได้ยิน ผมจูบมันอีกครั้ง งับเบาๆเมื่ออีกฝ่ายอ้าปากออก และจูบลงไปอีกหลายที่จนเสียงครวญดังแผ่ว มันก็แค่เสียงอืออาในลำคอ แต่ไม่รู้ทำไมถึงน่าฟังได้ขนาดนี้เมื่อแจ็คสันเป็นคนทำ



               “แจ็คสัน.. ”
               “หืม? ”  
               “ถามไรหน่อยดิ... ”
               
               ผมเหนื่อย ผมง่วงมากด้วย สมองเลยไม่มีเวลาประมวลผล ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายความคิดที่อยู่ในหัวนี้ให้อีกฝ่ายเข้าใจได้อย่างไร.. เพราะเรื่องที่ติดอยู่ในหัวตั้งแต่เมื่อวานเที่ยงๆนั่นก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
               สุดท้ายก็ได้แค่พยายามบอกสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกออกไป.. และหวังว่ามันจะสรุปแทนผมได้

     
               “...อยากเจอ”
     
               “อยากกอด อยากจูบ อยากอยู่ใกล้ๆ.. ไม่อยากให้ไปไหน”

     
               ผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเกร็งตัวขึ้นมานิดๆ.. ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่เอาไว้ถามทีหลังก็แล้วกัน สมองผมตอนนี้น่ะทำได้ทีละอย่าง มันเฉื่อยเกินกว่าจะสั่งอะไรซับซ้อนเสียแล้ว

               “ชอบให้ยิ้มเยอะๆ ชอบให้หัวเราะดังๆด้วยกัน จริงๆด่าก็ได้ ยังไงก็น่ารักอยู่ดี..”
     
               “ถ้าโกรธก็อยากจะง้อ ถ้างอแงก็ก็อยากให้มาอ้อน..”
     
               “...อยากตามใจทุกอย่างเลย”




               “อาการแบบนี้… ควรเรียกว่าอะไรดี?”










มีหลายอย่างที่ผมคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป
     
ไม่รู้สิ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูดหรือเขินอายอะไรหรอก แต่บางทีมันก็ไม่ชินปากเท่าไหร่
     
อย่างเช่น... การจะเรียกแจ็คสันเป็นอย่างอื่น นอกจาก ‘เพื่อน’ นั่นแหละ



และก็มีหลายอย่างเหมือนกันที่ผมไม่ได้พูดออกไป
     
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะผมไม่รู้ความหมาย ผมเลยไม่แน่ใจว่ามันจะใช่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อรึเปล่า


แต่ผมก็หวังว่าแจ็คสันจะเข้าใจมันนะ
     
สิ่งที่ผมคิดน่ะ..








-----------------------------------------------------------------------------------------


Comments