BED FRIEND : 027



027


คนเราเนี่ย จริงๆก็เบื่อง่ายนะครับ
     
แค่คิดภาพว่าต้องกินอาหารซ้ำๆ เดิมๆ 3 มื้อต่อวันก็เบื่อจะแย่
     
แล้วผมกับแจ็คสันที่เห็นหน้ากันติดๆมา 25 ปี เก้าพันกว่าวันเนี่ย สมควรจะเบื่อหน้ากันตายได้แล้วหรือยัง?







               “คบกันแล้วเหรอ?”

               คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจากคนที่นั่งทำงานข้างผมดังขึ้นเมื่อใครบางคนในชูทสุดผละออกไปจากประตูออฟฟิส ผมแค่หันหน้าไปมองเธอด้วยสายตาที่เรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะประดิษฐ์ขึ้นมาได้ ตอบเสียงเรียบ
               
               “...เปล่า”
               นิโคลถอนหายใจ แล้วก็ยักไหล่แบบที่ถ้าพูดก็คงจะมีเสียง ‘อ้อ..เหรอ?’ ลอยตามออกมาด้วยแน่ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่สนใจ

               ก็ไม่ได้คบกันจริงๆ..
     
               เพื่อนกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ.. มันเป็นของผมคนเดียวแล้ว


               ว่าไงดีล่ะ ก็เป็นเพื่อนกันมา 25 ปี อยู่ๆจะให้เรียกว่าแฟนผมก็ไม่ชินปาก แถมใครในบริษัทเราก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นรูมเมทกัน กลับบ้านพร้อมกันทุกวันขนาดนี้ แจ็คสันคั่วเกย์มาครึ่งบริษัท ผมฟันหญิงมาแล้วทุกแผนก ใครมันจะไปคิดว่าเราจะเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเพลย์บอยสองตัวที่หารค่าห้องกัน
               จะให้ไปเดินแจกการ์ดบอกใครต่อใครว่ามันเป็นของผมเอาตอนนี้ก็ใช่เรื่อง
               เอาเป็นว่าผมพอใจกับที่เป็นตอนนี้ก็แล้วกัน ใครจะว่ายังไงก็แล้วแต่ และเรื่องที่ควรจะเครียดคือ..อาการของตัวเองในตอนนี้มากกว่า


               ..อยากเห็นหน้ามันทุกสองชั่วโมงเลยว่ะ ทำไงดี


               เอางี้ ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนเลยนะ ตอนผมมีแฟนก็ไม่เคยอยากเห็นหน้าใครบ่อยเท่านี้ ออกจะเป็นเชิงนานๆทีเจอกันด้วยซ้ำ อาทิตย์หนึ่งเจอกันเกิน 2 ครั้งก็ถือว่าประเสริฐที่สุดเท่าที่เคยเป็น
               แล้วนี่อะไร.. มันเดินไปยังไม่ถึงห้านาที ผมก็อยากไปดึงให้มันกลับมานั่งแถวๆนี้เหมือนเดิมแล้ว


               ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครหรอก โดยเฉพาะแจ็คสัน ถ้าบอกเดี๋ยวแม่งก็แกล้งผมอีก เบื่อเวลามันมาหัวเราะเยาะเย้ยใส่หน้า แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งทิ่มแมคบุ๊คข้างๆกันตอนนี้จะรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องขยับปากเล่าเลยสักคำ
     
               “มองตามตาละห้อยขนาดนี้เรียกว่าไม่คบ?”
               ...ผมขอเรียกมันว่าเซนส์ของผู้หญิงได้ไหม? หน้าผมมันบ่งบอกขนาดนั้นเลยเหรอวะ?
               
               “ก็..เปล่า” ผมถอนหายใจ “ยังเป็นเพื่อนกันอยู่… Just.. a special kind of friend..”
               
               “Cheesy..” นิโคลยิ้มขำๆ ไม่รู้ทำไมวันนี้เธอชวนผมคุยเยอะกว่าวันอื่นๆ แล้วชวนคุยไม่พอนะ มาด่ากันเลี่ยนทำไม “แต่ก็ดีนะ เห็นแบบนี้แล้วค่อยดีใจหน่อย..”
               นึกว่าแฟนคนแรกของฉันจะเป็นหุ่นยนต์แล้วซะอีก ที่จริงก็ยังเป็นคนอยู่นี่”





               ผมนั่งถอนหายใจให้ตัวเองปลงๆ นั่งเขี่ยงานด้วยความรู้สึกแบบโคตรจะเบื่อหน่าย นาฬิกานี่ก็มองเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วมันก็ยังเพิ่งผ่านไปได้แค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยให้ตาย ผมว่าผมเป็นคนตั้งใจทำงานนะ แต่ไม่รู้ว่าไมช่วงสามสี่วันนี่จิตใจไม่ค่อยจะสงบเลยก็ไม่รู้
               เมื่อวานก็ฟุ้งมากจนต้องเดินไปซื้อกาแฟกิน แต่ไม่รู้ทำไม ซื้อไปซื้อมาก็เผลอซื้อมอคค่าติดมือมาด้วย แล้วไม่รู้ตัวกว่านั้นคือซื้อเสร็จแล้วเดินไปที่ชั้น 34 เลี้ยวเข้าแผนกโฆษณาเฉยเลย..
     
               พอวันนี้จะทำอย่างเดิมก็ไม่ได้แล้วไง




               ผมก็เกลียดเหมือนกันแหละที่ตัวเองเป็นอย่างนี้ ทำตัวอย่างกับเด็กม.ต้นเพิ่งมีแฟนคนแรกยังไงอย่างงั้น คือเมื่อก่อนก็ด่าคนอื่นไว้เยอะแหละครับ ถือว่าตอนนั้นไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ใครจะไปรู้ว่ายังอุตส่าห์จะมาเป็นแบบนี้ได้ตอนอายุ 25 แล้วพอเป็นก็ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
     
               “ไปเถอะมาร์ค 15 นาทีก็ยังดี”
               คนแถวๆนี้ที่เห็นผมถอนหายใจรอบที่สี่พันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ถ้าเธอจะรำคาญผมก็ไม่แปลกใจนะ แต่แปลกที่นอกจากจะดูไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เธอยังมีท่าทีชอบใจมากๆเสียด้วย “งานก็ไม่เยอะแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมาพรูฟก็ได้”
     
               คือมันก็ใช่.. แต่ผมก็ไม่รู้แล้วจริงๆว่าถ้าไปหามัน จะไปด้วยสาเหตุอะไร นี่ก็บ่ายสี่โมงแล้ว เย็นเกินกว่าจะทำอะไรทั้งนั้น อีกชั่วโมงเดียวก็หมดเวลาทำงาน แต่ผมก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
     
               “เธอไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอนิโคล?”

               Love makes us feel like teenagers again.
               
               เสียงถอนหายใจขำๆกับรอยยิ้มบนหน้าของเธอ เมื่อรวมกับประโยคที่เอ่ยออกมาแล้ว.. ผมรู้สึกได้ขึ้นมาทันทีเลยว่า ถึงแม้ว่าผมกับนิโคลจะไม่ได้คบกัน แต่ถ้าเป็นเพื่อนกันเฉยๆล่ะก็ เธอเป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ดีมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ






-----------------------------------------------------------------------------------------





               “คิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ หืม?”

               เสียงจิกกัดจากคนแถวนี้ที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านกาแฟที่อยู่ในโถงของบริษัท ผมนั่งรออยู่ตรงโซฟาด้านใน แน่ล่ะว่าสั่งน้ำให้มันแล้วเรียบร้อย เหลือแค่รอให้มันหย่อนตัวลงนั่งอย่างที่มันทำอยู่ตอนนี้และคว้าแก้วไปดูด
     
               “ก็อายุเท่าคนแถวนี้..” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ถ้าบ่นแล้วลงมาทำไม?”

               “ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากนี่”
     
               ผมว่าผมคงอาการหนักแล้วว่ะคุณ ขนาดการเถียงกันข้างๆคูๆของเรายังทำให้ผมโคตรจะมีความสุขเลย ถ้ามันติดคอตายได้ผมก็คงตายไปนานแล้ว


               มันคงจริงอย่างที่นิโคลว่า.. ความรู้สึกบางอย่าง...ทำให้คนเราเด็กลง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอายุซักสิบห้าอีกครั้ง
               ไม่หรอก ผมไม่ได้อยากกลับไปทำตัวบ้าๆบอๆหรือโกรกหัวแดงเหมือนในตอนนั้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่..อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่อดทน และถ้าอยากจะทำอะไรก็จะทำเดี๋ยวนั้นโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ซึ่งขนาดผมเองที่ว่าใจร้อนมากๆ พอโตขึ้นมาก็เรียนรู้ที่จะอดทนและเย็นลงได้ในระดับหนึ่งแล้ว..
               แต่พอมาเป็นตอนนี้ ไอ้ที่บอกว่าดีขึ้นนั่นแทบจะไม่เป็นไปตามนั้น ดีไม่ดีจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ



               “ถามจริงเถอะมาร์ค” ไอ้คนที่นั่งดูดช็อคโกแลตเย็นทำเสียงซะจริงจัง วางแก้วลงบนโต๊ะด้วยหน้าตาซีเรียสที่ผมเห็นแล้วอยากจะขำมากกว่ามีอารมณ์ร่วม “...กับคนอื่นนี่เป็นแบบนี้ไหม?”

               “เคยเห็นเป็นแบบนี้ไหมล่ะ?”
     
               รู้หรอกนะครับว่าแจ็คสันมันไม่ชอบให้ผมตอบคำถามด้วยคำถาม แต่มันเป็นนิสัยไปแล้วนี่ ช่วยไม่ได้จริงๆ และเวลาที่ผมทำแบบนี้ ไอ้คนตรงหน้าก็จะขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งทุกที ตลกดีจะตาย

               “แค่บอกว่าพิเศษกว่าคนอื่นมันยากเหรอวะ? หา?”
               แล้วดูเข้า พอหลังๆนี่พูดเองเลยนะว่าพิเศษน่ะ รู้ตัวด้วยว่างั้น? แล้วแบบนี้ยังจะต้องการให้ผมพูดอะไรอีก
     

               ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั้นของแจ็คสัน เวลาผมมีน้อย จะยียวนกวนมันไปให้อารมณ์เสียเล่นก็เห็นทีจะไม่จบง่าย สู้เอาเวลาตรงนั้นมานั่งมองหน้ามันดูจะคุ้มกว่า กลิ่นบุหรี่ช็อคโกแลตจางๆกับสบู่ยี่ห้อเดียวกันทำให้สมองโล่งดีสุดๆ และมันก็คงจะปลอดโปร่งโล่งหัวกว่านี้ถ้าผมจะได้ไปสูดมันใกล้ๆ
               หรือจริงๆแล้วผมควรจะเอาแจ็คสันไปตั้งไว้ในแผนกดีนะ? เผื่องานจะเสร็จเร็วขึ้นอีกหน่อย เผื่อผมจะได้ถอนหายใจน้อยลงอีกนิด เผื่อ…


               เฮ้อ.. ผมควรจะไปหาจิตแพทย์จริงๆแล้วล่ะมั้ง





-----------------------------------------------------------------------------------------





               “มาร์ค”

              “ว่า..?”

               “มือ..”
     
               ผมหัวเราะเมื่อเห็นว่ามือตัวเองอยู่ดีๆมันก็วาร์ปไปอยู่บนขอบกางเกงใส่นอนของคนแถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไหนจะสายตาที่แจ็คสันมันตวัดมามองนั่นอีก ตลกดีเป็นบ้า “ไม่ชอบ?”
     
               “ไม่..” มันตอบ หน้าบูดอย่างกับอะไรดี “จะทำก็ล้วงเข้ามา อย่ามาลีลาลูบเฉยๆ มันเสียว!”

               ทีนี้ล่ะผมหลุดขำอย่างกลั้นไม่อยู่ มีแต่แจ็คสันนั่นแหละที่มันโถมตัวเข้ามาทับผมที่ยังขำจนน้ำตาจะเล็ดอยู่บนโซฟาจนเกือบจุก มือคู่นั้นรูดกางเกงยางยืดนั่นออกโดยที่ไม่รอคำตอบ แน่นอน มันดึงเสื้อนอนผมออกด้วย สรุปว่าต่างคนต่างเหลือติดตัวกันคนละชิ้นสองชิ้น แหว่งบนแหว่งล่างอย่างพิลึกพิลั่น
               
               “เมื่อวานก็เพิ่งทำ..” ผมลูบเบาๆผมกลุ่มผมนิ่ม แต่อย่าคิดว่าผมปฏิเสธเชียวนะ แค่เตือนความจำเฉยๆ

               “เมื่อวานก็ของเมื่อวานดิ”

               “ไม่เบื่อ?”
     
               ผมถามไปแบบนั้นแหละ ไม่ได้หมายความว่าผมเบื่อที่จะทำกับมันนะ แค่คิดว่าถ้าเราทำกันถี่ๆแบบนี้มันจะไม่ไหวเอาในสักวันหรือเปล่า พรุ่งนี้แจ็คสันมันอาจจะต้องออกกองไปถ่ายโฆษณาที่ไหนก็ไม่รู้ก็ได้ ถ้าวันนี้เราบังเอิญมาจัดหนักกันอีกจนมันทำงานไม่ได้เต็มที่ขึ้นมาจะทำยังไง
               ...อีกอย่าง ไอ้ช่วงสองสามวันมานี้ผมก็เบียดเบียนเวลาทำงานของมันมาพอสมควรแล้ว


               “ไม่อยาก?” นั่นไง มันเริ่มเสพติดการตอบคำถามด้วยคำถามของผมไปแล้ว คราวนี้ว่าผมคนเดียวก็ไม่ได้แล้วนะ
               “เปล่า..” ผมดึงไอ้คนที่ทำท่าจะคว้ากางเกงมาใส่เหมือนเดิมเข้ามาใกล้ ขาข้างที่ว่างคีบกางเกงนอนตัวบางนั่นก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปไกลๆ จะได้ไม่ต้องมาบดบังทรรศนียภาพกัน “พรุ่งนี้ไม่ได้ออกกองไปไหน?”

               การส่ายหน้าปฏิเสธนั่นทำให้ผมเลิกเสื้อยืดของผม...ที่อยู่บนตัวมันอีกแล้วออกให้พ้นจากหัวกลมๆนั่น จะว่าไปเราก็ทำกันบนโซฟาบ่อยนะช่วงนี้ บางทีผมควรจะย้ายที่ ระเบียงดีไหม? หรือว่าลานจอดรถดี?
               
               ต่ช่วงนี้หนาวอ่ะ เก็บแผนเอ้าท์ดอร์ไว้ฤดูอื่นก็แล้วกัน.. ทนโซฟา ห้องน้ำ เตียงนอนไปอีกซัก 2 เดือนละกันนะ
               


               “ถ้าออกกองจะไม่ทำว่างั้น?” น้ำเสียงยียวนกับร่างขาวๆ… เอาจริงๆก็ไม่ขาวเท่าไหร่นะ ขาวๆแดงๆชอบกล มีแต่รอยที่คุ้นๆว่าน่าจะเป็นของผมนี่แหละเต็มไปหมด.. ก็เล่นทำมันทุกวันติดกันจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้มันคร่อมลงมาเหนือร่างผม ตั้งท่าจะออนท็อปอีกวันแล้ว..

               “ก็ทำอยู่ดี”

               “แล้วถามเพื่อ?”
     
               อีกคนหัวเราะร่วน ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากคว้ามันเข้ามากอดแน่นๆทีหนึ่ง อยากจะทำตั้งแต่ตอนที่อยู่บริษัทแล้วล่ะครับ เพียงแต่มันไม่มีอะไรอำนวยให้เราทำเบบนี้เท่าไหร่


               จะด้วยความอุ่นของผิวเนื้อ กลิ่นที่คุ้นเคย หรือว่าขนาดตัวที่พอดีกับแขนขาของผมในระยะที่จะกอดได้ถนัด… หรือแค่เพราะว่ามันเป็นแจ็คสันหวังก็ไม่รู้ แต่รู้สึกดีเป็นบ้า ดีจนไม่อยากจะปล่อย เพ้อเจ้อได้ขนาดที่ไม่อยากจะให้มันออกไปทำงานด้วยซ้ำ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกไป

               “รำคาญป่ะ?”
               ผมถามเบาๆ ปกติก็ไม่กังวลนะ แต่ว่าก็เข้าใจได้ว่าช่วงนี้ตัวเองโคตรจะวอแวอย่างออกหน้าออกตา วันนี้ก็เหมือนกัน ขนาดที่ว่าส่งข้อความไปเรียกแจ็คสันมันลงมาจากแผนกได้ในเวลางานก็ถือว่าสาหัส ใกล้โคม่าเต็มที

               “เรื่องไหน?” เสียงถามกลับดังมาจากคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกผม หลังๆนี่มันเริ่มเอาคืนแล้วครับ ไม่อยากจะบอกว่าตัวผมก็เริ่มใกล้เคียงธงชาติแคนาดาเข้าไปทุกทีเหมือนกัน ขาวๆแดงๆไปทั้งตัวตั้งแต่คอยันขา ในระดับที่ว่าถ้าถอดเสื้อออกมาแล้วคนอาจจะเข้าใจผิดได้ว่าไปโดนยำตีนมา “ข้อความนั่นอ่ะนะ?”
     
               “อ่าฮะ..” จริงๆก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอก แต่ถ้าเข้าใจแค่นั้นก็เอาตามนั้นก็ได้
               
               “ก็…” ไอ้คนที่กำลังโดนผมรวบเข้ากอดแน่นเงียบไปเหมือนจะชั่งใจ “เห็นแล้วก็...ทะ..ทำงานต่อไม่..ฮื่อออ มาร์ค ..จะให้ตอบมั้ยวะเนี่ย”
               “น่า.. ประหยัดเวลา..” ผมหัวเราะ งับใบหูที่เริ่มแดงขึ้นมาเบาๆ “สรุปว่าไง?”
     
               “อ๊ะ.. อืมม.. ก็ลงไป.. หาแล้ว..” คำตอบที่ได้เริ่มจะสั่นพร่าขึ้นทุกที แต่ผมไม่ด่าหรอกนะ มันเป็นเพราะผมนี่ “ยะ..ยังไม่พอ… อื้อออ… อย่าลึก..อีก..”
     
               “เอาดีๆซิ สรุปจะอย่าลึก.. หรือลึกอีก?”


     
               “โว้ย! มาร์ค!!”
     
               ผมหัวเราะลั่นทันทีที่อีกคนหมดความอดทน ผลักอกผมลงกับโซฟา รวบมือผมที่กอดเอวมันอยู่ให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาจนสุดแบบไม่สนใจว่านั่นจะทำให้มันต้องหวีดครางลั่นห้องแค่ไหน
               เนื้อตัวขาวๆที่อารมณ์พลุ่งพล่านจนแทบจะเป็นสีแดงไปทั้งตัวบนตักผมนั่นเป็นวิวที่ดีเป็นบ้า.. คิ้วเข้มๆขมวดเป็นปม และถึงหน้าตามันจะเคลิ้มแค่ไหน ไอ้เสียงแหบๆที่ฮึดฮัดอยู่ในทีนั่นก็ยังโวยกลับมาจนได้

               “ไม่รำคาญ! โคตรชอบ! พอใจยัง!?”

               หืม? ข้อความนั้นคืออะไรน่ะเหรอ? ไม่อยากจะให้ดูหรอกนะ.. เดี๋ยวคุณก็บอกว่าผมน่าหมั่นไส้
               แต่ถ้ารบเร้าขนาดนั้นก็ช่วยไม่ได้จริงๆ..



‘ตอนนี้อยู่ร้านกาแฟชั้น 2

อยากเจอมั้ย?’




               จริงๆถึงมันจะไม่ตอบ ผมก็พอจะรู้แล้วว่ามันคิดยังไง..
     
               ดูเอาจากการที่มันลงจากชั้น 34 มาที่ร้านภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที หลังจากผมส่งข้อความไปให้นั่นแหละ..






คนเราเนี่ย จริงๆก็เบื่อง่ายนะครับ
     
แค่คิดภาพว่าต้องกินอาหารซ้ำๆ เดิมๆ 3 มื้อต่อวันก็เบื่อจะแย่
     
แล้วผมกับแจ็คสันที่เห็นหน้ากันติดๆมา 25 ปี เก้าพันกว่าวันเนี่ย สมควรจะเบื่อหน้ากันตายได้แล้วหรือยัง?


แต่ถ้าถามว่าผมเบื่อไหมที่ต้องทำกิจกรรมเดิมๆ เจอคนเดิมๆทุกวันที่ตื่นขึ้นมาก็ตอบได้ว่าไม่
     
ต่อให้เจอกันต่อไปอีกซัก 10 หรือ 20 ปีผมก็ยังโอเค
     
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ…

     
ก็ประมาณออกซิเจนล่ะมั้งครับ?






-----------------------------------------------------------------------------------------


Comments