BED FRIEND : 018



018



ผมความจำไม่ดีนักหรอก
     
ด้วยความไฮเปอร์ด้วยล่ะ ทำให้ความสนใจของผมต่อสิ่งๆหนึ่งมีน้อยมาก
     
แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 นาทีก่อนผมยังลืมเลย




               “ดูอารมณ์ดีนะพี่”
     
               รุ่นน้องร่วมแผนกทักขึ้นในขณะที่ผมกำลังปิดคอมพิวเตอร์และเก็บของเตรียมกลับบ้าน นี่ก็จะห้าโมงแล้ว ใกล้เวลาเลิกงาน ผมเองก็เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงไม่มีอะไรเหลือให้ทำเพิ่ม
               ผมเพียงแค่ยิ้มนิดๆแทนคำตอบ ไม่รู้จะตอบอะไรดี เพราะมันเป็นความจริง..
     
               อะไรจะบันเทิงไปกว่าการได้แกล้งมาร์คทุกวัน..? ไม่มีหรอก

               เมื่อคืน เราเล่นกันเบาๆก่อนเข้านอน ผมเรียกมันว่าเล่นนะ เพราะไม่มีอะไรหนักหนาเกิดขึ้นให้ได้ต้องเข้าไปเช็ดล้างในห้องน้ำ แน่นอน ผมไม่มีทางกลับห้องตัวเองหรอก มาร์คก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องนอนเตียงเดียวกับผมเหมือนกัน
               มันเป็นความสนุกส่วนตัวของผมที่จะเห็นมาร์คทำหน้าตาฮึดฮัดก่อนนอน แต่ตื่นมาในสภาพที่ทั้งตัวโดนกอดแน่น

               เอาน่ะ.. คุณก็รู้ว่าถึงหลักฐานที่มีจะชัดเจนแค่ไหน ต่อให้แขนมาร์คจะอยู่บนเอวผม หน้าผมจะอยู่บนอกมาร์ค หรือขาเราจะพันกันไปมาจนดูไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร แต่สุดท้ายมาร์คก็จะตื่นมา และทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ดี
               แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของความสนุกของผมนั่นแหละ


     
               “วันนี้พี่มาร์คไม่มาเหรอคะ?”
               ยุนอา น้องอีกคนในแผนกถามเมื่อผมกำลังโยนกระเป๋าเงินและมือถือลงไปในเป้ เธอเข้าทำงานหลังผมไม่กี่เดือน เราเลยค่อนข้างจะสนิทกัน (แบบสนิทจริงๆ ไม่ใช่ ‘ดูเหมือนจะสนิท’ แบบคนอื่นๆนะ) และเมื่อผมตอบไปตามตรงว่าวันนี้ผมจะไปตามมันเอง สายตาของเธอก็วิบวับขึ้นมาทันที
               
               ..อา ว่าไงดีล่ะ สาวๆประเภทนี้ในบริษัทก็มีอยู่บ้าง เธอลุ้นเหลือเกินให้ผมกับมาร์คเป็นอะไรๆกันเสียที จริงจังถึงขนาดมีการแบ่งทีมเพื่อเชียร์ว่าระหว่างผมกับมาร์คใครน่าจะเป็นคนทำ ใครน่าจะเป็นคนถูกทำ ซึ่งผมก็ชินแล้ว มองเป็นเรื่องตลกไปเสีย เพราะยังไงความจริงที่เป็นอยู่ก็ไม่มีใครรู้นอกจากเราอยู่ดี
               ถ้าพวกน้องเขารู้ว่าเราทำกันไปกี่รอบที่มัลดีฟเนี่ย ก็น่าจะเลิกเชียร์กันได้แล้วล่ะมั้ง?

               “พี่แจ็ค หนูถามจริงๆ..” เธอเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อเก็บแก้วกาแฟของผมที่ว่าจะทิ้งตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแต่ลืมออกไปให้ “พวกพี่นี่...แค่เพื่อนจริงป้ะ?”               
               “เห็นพี่เหมือนอย่างอื่นกันรึไง?” ผมหัวเราะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการตอบคำถามด้วยคำถามแบบนี้เนี่ย วิธีของมาร์คชัดๆ ติดโรคมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย
               “พี่อ่ะ..” ปากอิ่มนั่นคว่ำลงงอนๆ “ก็เหมือนเพื่อนหรอก แต่ก็เหมือนอย่างอื่นด้วยไง”

               ผมยักไหล่ เลือกที่จะไม่ตอบอะไรให้ชัดเจนออกไป เพราะมันไม่มีคำตอบตั้งแต่แรก อย่างที่บอกแหละ ผมนิยามความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ นอกจากคำว่า ‘เพื่อน’ ผมก็ไม่รู้ว่าเราน่าจะเป็นอะไรได้มากกว่านี้บ้าง

               “ไว้พี่เป็นอย่างอื่นกันแล้วจะบอกละกันนะ”







               “พี่มาร์ค! พี่แจ็คมาแล้วครับ!”
               
               เออแฮะ เดี๋ยวนี้ทีมพัฒนาแผนกไอทีเขามีเซนเซอร์ติดไว้แล้วรึไง ก้าวขาเข้าไปทีไรมีหน่วยแจ้งเตือนตลอด แถมยังเป็นระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ รู้ด้วยว่ามาหาใคร
               ผมเห็นมาร์คมันหันไปหรี่ตาใส่ลูกน้องทีนึง ก่อนจะลุกขึ้นคว้ากระเป๋าแลปทอปสะพายบ่า ดูเหมือนจะเก็บของรออยู่แล้วด้วยนะเนี่ย น่าดีใจจริงๆ

               “คิดรึยังว่าจะกินอะไร?”
               “คิดแล้ว อยากกินอะไรปิ้งๆย่างๆ กินมะ?”
     
               มาร์คพยักหน้าตามง่ายๆ เรื่องกินไม่ต้องกังวลหรอกครับ มาร์คยัดได้ทุกอย่าง คนที่ข้อจำกัดเยอะคือผมนี่ ทั้งเรื่องที่ต้องคุมน้ำหนักด้วยเลยกินบุฟเฟ่ต์บ่อยไม่ได้ หรือเรื่องที่กินเผ็ดไม่ได้เลยนั่นอีก ส่วนมากผมเลยต้องเป็นคนเลือกที่กินเอง
               วันนี้ผมติดรถมาร์คมา แน่ล่ะ เมื่อเช้าตื่นสาย ดันนอนเพลินไปหน่อยทั้งคู่จนรู้ตัวอีกทีก็เจ็ดโมงครึ่งแล้ว ไม่มีเวลามาเบียดคนเข้ารถไฟฟ้าจนต้องขับมาเอง ดังนั้นเย็นนี้เราเลยจะไปกินข้าวข้างนอกก่อนกลับมันเสียเลย ยัดตัวเองเข้ารถพร้อมทำตัวเป็น GPS มีชีวิตบอกทางมันเสียเสร็จสรรพ

               ผมจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราออกไปกินข้าวด้วยกันมันเมื่อไหร่ ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำ ส่วนมากเราจะกินข้าวด้วยกันบนห้องมากกว่า ที่กินข้างนอกนั่น...ถ้าไม่ได้กินเหล้าก็ต้องเป็นตอนที่มาเดทกับคนอื่น…
               “เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายตรงแยกนั้นนะ” ผมบอกพร้อมกับกดเลื่อนมือถือดูอะไรไปเรื่อย ร้านนี้ผมเคยมาเมื่อ...น่าจะกลางๆปีที่แล้วได้ ตอนที่แฟนยังไม่เป็นพี่ยองแจเลยด้วยซ้ำ อร่อยดี คิดอยู่เหมือนกันว่าจะพามาร์คมาแต่ไม่ได้ทำสักทีจนวันนี้ “ร้านนี้เสิร์ฟเบียร์ด้วย มาร์คน่าจะชอบ”
     
               “ไม่เมาง่ายๆหรอกนะ..”
               คำตอบนิ่งๆนั่นทำเอาผมขำพรืด ดูท่ามันจะฝังใจจริงๆแฮะ “ยอมรับแล้วว่าทำ?”   
               คราวนี้มีแค่สายตาเชือดเฉือนกลับมา.. ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มกับท่าทีที่เหมือนโดนจี้ใจดำนั่นจนแก้มแทบแตก

     
               ก็บอกแล้วว่ามาร์คตอนเมาเจนเทิลเป็นบ้า น่ารัก อ่อนหวาน โรแมนติคที่สุด ขัดกับไอ้ที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลาปกติอย่างกับหน้ามือและหลังเท้า สารภาพว่าเกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นอยู่สองครั้งเท่านั้น แต่ไอ้สองครั้งที่ว่าผมเองก็ไม่ได้มีสภาพต่างจากมันนัก เมาเละเหมือนกันแหละ ถ้ามีสติครบๆก็อยากจะเจออีกสักรอบ..แต่ดูท่าจะยาก
               
               แถมถ้าเจอเข้าจริงๆ ผมว่าน่าจะเป็นผมเองนี่แหละที่เขินมันก่อน
               
               ก็นี่มาร์คเชียวนะ มาร์คที่เอะอะก็กระแทกเข้ามาอย่างเดียว ถึงผมจะรู้สึกดีกับมันด้วยก็เถอะ แต่อยู่ดีๆดันมาทำช้าๆ นุ่มๆแบบนั้น เป็นใครก็ละลายสิวะ..
     
   



               “ตรงไปอีกสองบล็อคนะ แล้วเลี้ยวขวา ร้านอยู่…”               
               ยังไม่ทันที่ผมจะบอกทางเสร็จ เสียงเรียกเข้าจากมือถือของตัวเองก็ดังขึ้นจนต้องหยิบมาดู เบอร์ที่ปรากฏขึ้นนั่นไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ผมลังเลที่จะรับนิดหน่อย แต่บางทีอาจจะเป็นเบอร์ที่โทรมาติดต่อเรื่องงาน สุดท้ายก็กดรับจนได้

               “สวัสดีครับ…” ผมกรอกเสียงเป็นการเป็นงานไป แต่เสียงที่ตอบกลับมาไม่คุ้นเอาเสียเลย แถมขึ้นต้นประโยคว่า ‘จำฉันได้มั้ย’ มาด้วยนี่สิ.. ใครจะเดาถูกล่ะทีนี้ “อ่า.. ครับ ว่าไงเอ่ย?”     
               ปลายสายยังคงไม่บอกชื่อว่าเป็นอะไร ทีนี้ล่ะที่ผมต้องนั่งเดาไปเรื่อยๆว่าเป็นคนไหนที่เผลอไปแลกเบอร์ไว้พร้อมๆกับตอบคำถามสัพเพเหระที่ไม่เข้าเรื่องสักที ตาก็ต้องมองถนนเพื่อบอกทางมาร์คด้วย หูยังต้องมานั่งฟังอีก
               “...คืนนี้เหรอครับ?” ผมเว้นจังหวะเมื่อปลายสายเอ่ยถามว่าว่างไหม โดยไม่ต้องให้เดาก็น่าจะชวนออกไปกินข้าวที่ไหนสักที่ ทั้งๆที่ผมยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถเราไปถึงมุมถนนที่ว่าและผมก็สะกิดมาร์คเพื่อบอกให้เลี้ยวขวา 

               ...แต่มันกลับตรงผ่านไป
     
               ผมหันไปมองมาร์ค ซึ่งมันก็ไม่ได้มองกลับมา เพียงแค่พึมพำเบาๆเหมือนกลัวจะหลุดเข้าไปในโทรศัพท์
               “มีนัดแล้วนี่.. ไว้กินวันอื่นแล้วกัน”
               คำตอบตรงๆ นิ่งๆนั่นทำผมอึ้งไปชั่วขณะ ไม่หรอก มาร์คไม่ได้ประชด แต่มันสละแพลนให้ผมจริงๆอย่างกับรู้ว่าผมต้องตกลงไปทั้งที่ยังไม่ถามผมสักคำ ถึงจะเป็นการกินข้าวข้างนอกด้วยกันครั้งแรกในรอบหลายเดือนมันก็ปัดทิ้งได้เสียง่ายๆ ถ้าผมจะมีคนอื่นชวนไป…

               ไม่รู้ว่าจะหงุดหงิดหรือสงสารดีเลย

               ผมสูดหายใจลึกก่อนจะหันกลับไปสนใจคู่สนทนาที่ยังรออยู่ปลายสายอีกครั้ง..






-----------------------------------------------------------------------------------------






               โซฟายวบลงเพราะแรงกดทับ หนึ่งล่ะแน่นอนว่าเป็นของผม และอีกหนึ่ง...ไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ว่าใคร
               
               สูทผมถูกแขวนไว้ตรงที่แขวนเสื้อโค้ทตั้งแต่ตอนที่เราเดินผ่านประตู ตอนนี้เลยเหลือแค่เสื้อเชิ้ตกับเน็คไทให้มาร์คจัดการเท่านั้น แต่เปล่า มันตรงเข้าหากางเกงกับเข็มขัดผมก่อนเสียอีก กระตุกดึงหนังสีน้ำตาลเส้นนั้นอย่างรีบเร่งอย่างกับจะทำให้ขาดมากกว่าทำให้หลุดออกจากห่วง
  
               “มาร์ค...สัญญาแล้วนี่..” ผมถอนหายใจในขณะที่รูดเน็คไทออกจากคอตัวเอง เอนหลังพิงกับพนักโซฟาเอื่อยๆ
               “ก็ไม่เมา จะให้ทำยังไง” คนที่คร่อมตัวอยู่ข้างบนและรูดท่อนล่างผมออกไปแบบทรีอินวันยักไหล่ “จำไม่ได้แล้วว่าทำอะไรไป..”
     
               ปากแข็ง..

               แต่นั่นก็เป็นจุดน่ารักของมาร์คล่ะมั้ง อย่างน้อยผมก็คิดว่าอย่างนั้น.. ไอ้การที่พยายามปฏิเสธตัวเองสุดชีวิตแล้วก็ทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้นของมันนั่นเป็นความบันเทิงของผม และผมก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้จะถามคำตอบหรอกนะถ้ามันจะไม่บอก
               ผมยกแขนขึ้นโน้มคออีกฝ่ายเข้ามากดจูบหนักๆ แตะย้ำไปบนกลีบปากนุ่ม ขบกัดดูดดึงอย่างช้าๆ พึมพำชิดอวัยวะที่แทบไม่ขยับตอบสนองผมเอาเสียเลยเหมือนเจ้าของมันกำลังชั่งใจ
     
               “แค่คืนนี้..พรุ่งนี้จะลืม”
               ลูกแก้วสีน้ำตาลที่สะท้อนภาพผมอยู่ข้างในนั่นสั่นไหวเกินจะอธิบาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าข้างในกำลังตีรวนปั่นป่วนอย่างหนัก แต่นั่นก็สมควรแล้ว ผมยอมให้มันขนาดนี้ ให้มันลำบากเสียบ้างจะได้เสมอกัน
               “..ตกลงไหม?”

               ...อยากจะหนีอะไรก็หนีไป แต่สิ่งที่ผมอยากจะได้ ผมก็ต้องได้เหมือนกัน







               “...แจ็คสัน..”
     
               “อื้อ..”
     
               “อะ..แจ็ค…แจ็คสัน..”
     
               “อ-- มาร์ค… ฮะ… มาร์คค!”

               เหมือนคืนนั้นที่มัลดีฟ.. เราเรียกชื่อกันทั้งคืน

               มาร์คที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่กางเกงยีนส์ร่นลงครึ่งสะโพกโยกตัวเองเข้าหาผมอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วงจนต้องครางสุดเสียง เกร็งไปทั้งตัวเมื่อโดนกระแทกจุดที่รู้สึกดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงมันจะไม่ถี่รัวเหมือนที่เคยได้รับประจำ แต่มันก็รู้สึกดีไปอีกแบบจริงๆ..
               รอยจูบรอยที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้เกิดขึ้นที่บนไหล่ มาร์คจูบผมไปเรื่อย ตั้งแต่คอ อก ไหล่ แขน ท้อง ลงไปที่ขาด้วยมั้งถ้าจำไม่ผิด จนกระทั่งตอนนี้ที่เราทำกันจริงๆ มาร์คคงไม่มีตัวเลือกมากนักจึงได้แต่จูบส่วนบนๆแทน


               แต่ละรอยที่มาร์คลงมามันร้อนวาบไปหมดเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน ผมสาบานได้ว่าไม่เคยเห็นใครทำสายตาที่ทำให้ผมร้อนไปทั้งตัวได้แบบนี้มาก่อน ถึงขนาดที่เกร็งร่างขึ้นมาโดยอัตโนมัติจนมาร์คซี้ดปากเบาๆ รวบเอวผมตรึงไว้นิ่งๆพลางบดควงเข้าลึกอีกครั้ง
               
               “...อืม”
               เสียงแหบต่ำในลำคอนั่นเร้าอารมณ์ชะมัด ทำไมไม่เห็นใจกันบ้างนะ มาร์คมันจะรู้ไหมว่าแค่สายตาผมก็แทบจะระทวยแล้ว นี่ยังจะมาครางใกล้ๆอีก “..ทำไมอยู่ๆ..รัดแน่นขนาดนี้..”


               ผมก็อยากจะตอบมันเหมือนกันแหละ แต่ติดอยู่ที่ไอ้ความรู้สึกวูบๆวาบข้างล่างทำเอาหายใจแทบไม่เป็นปกติ ยิ่งลึกเท่าไหร่ หนักแค่ไหนผมยิ่งรู้สึกดีเหมือนจะตายให้ได้ เสพติดความรู้สึกร้อนที่เหมือนจะแผดเผาไปทั้งตัวและสัมผัสแนบแน่นของอ้อมกอดตรงหน้า กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของใครบางคนที่หายใจรดกันอยู่ในระยะประชิด และสายตาคมๆที่จ้องตรึงมาที่ผมอย่างมีความหมาย
               ซึ่งผมว่ามันไม่ได้ต่างไปจากสายตาที่ผมมองมันเท่าไหร่หรอก


               เราขยับเข้าหากันและกันอย่างหยุดไม่ได้ ต่อให้มีใครโทรมาผมก็ไม่สนใจแล้ว ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าจะใช้คืนนี้กับมาร์คแลกกับการที่ผมไม่ตกลงไปดินเนอร์กับเจ้าของเบอร์เมื่อครู่
     
               ...ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่จำเป็นต้องแลกเลยสักนิด
               เพราะต่อให้รับสายสัก 20 สาย ผมก็ยังจะเลือกตัวเลือกเดิมอยู่ดี...





               สัมผัสนุ่มอุ่นแตะลงมาที่หน้าผากหลังจากที่ระดับลมหายใจของเราเข้าที่ กดค้างไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะย้ายมาที่เปลือกตา
               มันนุ่มนวลเสียจนผมต้องยอมปรือตาลง ปล่อยให้มาร์คไล่จูบไปทั้งแก้ม สันกราม และจบลงที่ปากอย่างช้าๆ แผ่วเบา ถนอมอย่างกับว่าผมเป็นแก้ว
               
               ..หวานจนใจสั่น

               “แจ็คสัน..”
               ผมลืมตาขึ้นมองตามเสียงเรียก ก่อนที่จูบถัดไปจะประกบลงมาซ้ำ ช้ากว่าเมื่อกี้ แผ่วเบากว่าเมื่อกี้ ละมุนละไมอย่างกับเป็นจูบแรก แต่มีชั้นเชิงและพาเคลิ้มกว่าอย่างเทียบไม่ติด ทำเอาอัตราการเต้นของหัวใจยิ่งพุ่งขึ้นสูง

               “...ต้องลืมแล้วนะ”
               ผมมองตามริมฝีปากแดงๆนั่นอย่างอาวรณ์..ใช่ ใช้คำนี้ก็แล้วกัน ผมไม่อยากให้มันถอนออกไปจริงๆ ไม่รู้ทำไม

               “..ยัง….”
               สัมผัสร้อนแผ่วแต่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ที่เราไม่เคยเปิดเผยใส่กันในช่วงเวลาที่มีสติอยู่ประทับลงมาอีกครั้ง เชื่องช้า ยาวนาน แต่รู้สึกดีเกินกว่าจะยอมให้จบลงจนต้องกอดคว้าเอาไว้

               “ลืมได้แล้ว..”

               “ยัง…”






ผมความจำไม่ดีนักหรอก
     
ด้วยความไฮเปอร์ด้วยล่ะ ทำให้ความสนใจของผมต่อสิ่งๆหนึ่งมีน้อยมาก
     
แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 นาทีก่อนผมยังลืมเลย



และวันพรุ่งนี้ผมก็อาจจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้
     
แต่ไม่เป็นไรหรอก
     
อายุขัยผมคงไม่สั้นขนาดนั้น


ยังมีอีกหลายคืนให้ผมทวนมันซ้ำ.. จนกว่าจะจำได้




-----------------------------------------------------------------------------------------



Comments