BED FRIEND : 016



016


ผมเคยดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ที่พูดถึงกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
     
ว่าด้วยเรื่องที่คนเราไม่สามารถได้สิ่งใด โดยไม่สูญเสียอีกสิ่งหนึ่งได้ ทุกอย่างต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ
     
ผมค่อนข้างจะเชื่อในเรื่องนั้น...




               วันพักร้อน 5 วันนี่สั้นมากจริงๆ.. เผลอแป๊บเดียว พรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องกลับเกาหลีแล้ว
     
               ผมนั่งละเลียดข้าวเย็นมื้อสุดท้ายที่มัลดีฟอย่างเอื่อยๆ วันนี้ทั้งวันเราไม่ได้อยู่ในห้องเลย ตระเวนเดินรอบเกาะ เล่นน้ำ ถ่ายรูปนิดหน่อยอย่างที่คนมาเที่ยวต่างประเทศสมควรจะทำ ไม่ใช่เซ็กส์มาราธอนแบบเมื่อสองวันก่อน ส่วนมากมาร์คเป็นคนถ่ายให้ผม ส่วนผมเองก็ได้รูปตอนเผลอบ้างของมัน กะจะเอาไว้แบล็คเมล์ แต่ก็ยังหารูปที่ดูแย่ไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ เบื่อความหน้าตาดีของแม่งจริงๆ

               “มะรืนก็ต้องไปทำงานแล้วอ่ะ…”
               เสียงบ่นพึมพำนั่นทำเอามาร์คที่กำลังมีความสุขกับการยัดข้าวเข้าปากเงยหน้ามามอง ก่อนจะยักไหล่แทนคำว่า ‘ก็ช่วยไม่ได้นี่’ หรืออะไรทำนองนั้น
     
               “ขี้เกียจว่ะ อยากพักร้อนสัก 2 เดือน”
     
               ว่าไปนั่น เป็นอย่างนั้นจริงๆเห็นทีว่าจะโดนไล่ออก
     

               มาร์คแค่หัวเราะเบาๆทั้งที่ยังคงกลืนอาหารลงท้อง เรานั่งกินข้าวช้าๆ มองนู่นมองนี่เหมือนกับจะเก็บบรรยากาศของวันสุดท้ายจนกระทั่งคนเริ่มลุกออกจากที่ไปหมดถึงได้ลุกขึ้นกลับวิลล่ากัน




               “ไปตรงนั้นกัน...”
     
               อากาศดีสุดๆอย่างเคย เราเดินทอดน่องบริเวณชายหาดของโรงแรมพร้อมกับรับลมทะเลเย็นๆ ไม่รู้ว่ามาร์คมันคิดยังไงถึงนำผมมาตรงนี้ แต่ผมก็พยายามคิดว่ามันเป็นการเดินย่อยอาหาร บนหาดแทบไม่มีคน มีแค่เสียงดนตรีคลอเบาๆกับแสงไฟจากตรงบาร์ที่อยู่ไกลลิบ แสงจันทร์ส่องวับแวมจนเราแทบจะกลายเป็นเงาตะคุ่มๆอยู่ริมฝั่งทะเล
     
               บรรยากาศโคตรโรแมนติค ถ้ามากับแฟนนี่คงโดนผมฉุดแขนไปเอ้าท์ดอร์สักที่หนึ่งแถวนี้แหงๆ
     
               “ไปไหน?” หลังจากการเดินแบบไม่มีจุดหมายเกือบสิบนาทีผมจึงเริ่มถาม หาดนี่ไม่กว้างนักหรอกครับ เราเดินจนเกือบสุดแล้วด้วยซ้ำตอนนี้ ยิ่งเดินยิ่งไม่รู้ว่ามาร์คมันจะพาไปไหน
     
               “ไม่รู้..”
               ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เอ้า ไม่รู้ซะงั้น แล้วพากันเดินมาทำไมขนาดนี้
     
               “ไม่รู้หรือไม่บอก?”     
               
               “...ไม่รู้จริงๆ”

               คำตอบย้ำตามเดิม เอาวะ ไม่รู้ก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยก็ได้ เอาที่มันสบายใจเลยก็แล้วกัน


     
               เราหยุดกันตรงโขดหินใหญ่ที่เกือบจะเป็นหน้าผาย่อมๆ วิลล่าของเราอยู่ลิบๆอีกฝั่ง ไม่ต้องถามถึงคนเลย แค่ที่พักหรือสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ก็ไม่มีแถวนี้ ถ้ามาร์คมันจะล่อลวงผมมาฆ่าปิดปากก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง แต่ดูจากหน้าตาที่ว่างเปล่าจนเดาอารมณ์ไม่ถูกของแม่งแล้ว… ก็คิดว่านี่ยังไม่ใช่วันตายของผม
     
               “สนุกมะ?”
               “ห้ะ?”
               “มามัลดีฟสนุกมั้ย.. เห็นอยากมา”
     
               คำถามที่โคตรจะไม่มีที่มาที่ไป ขนาดผมที่เลิกคิดจะเดาอารมณ์มาร์คไปแล้วก็ยังอดแปลกใจไม่ได้
               
               “ก็ดี..” ผมทรุดตัวลงนั่งกับชายหาด ทรายละเอียดนุ่มที่ไม่เปียกมันโอเคกว่าพวกทรายที่ติดตามเท้าผมเมื่อตอนกลางวันอยู่มาก “แต่ได้เล่นน้ำน้อยไปหน่อยนะ”
               มาร์คหัวเราะเบาๆ มือล้วงกระเป๋า เดาได้ว่ามันจะควานหาบุหรี่อีกแล้ว “เล่นคืนนี้ก็ได้นี่ จะได้คุ้มหน่อย”
               “พรุ่งนี้ไม่ตื่นทำไงล่ะ ตกเครื่องล่ะแย่เลย”



               เสียงจุดไลท์เตอร์กับกลิ่นมินท์จางๆที่ลอยมากับลมทำให้ผมรู้ว่ามาร์คเริ่มอัดนิโคตินอีกแล้ว วันนี้มวนแรกเอง ควรดีใจไหม? ถือว่าดีใจแทนแม่มันก็แล้วกันครับที่อย่างน้อยลูกก็มีเปอร์เซ็นต์เป็นมะเร็งปอดก่อนวัยอันควรลดลงอีกนิด

               ผมจำไม่ได้ว่ามาร์คเริ่มสูบบุหรี่เมื่อไหร่เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีเราก็มีบุหรี่ยี่ห้อประจำของตัวเองกันไปแล้ว แต่ผมไม่สูบจัดเหมือนมาร์คหรอก แค่เอาไว้ผ่อนคลายเวลาหัวตื้อหรือหัวร้อนจัดๆ แต่มาร์คนี่จะบ่อยกว่าหน่อย ไม่รู้เพราะมันอารมณ์ร้อนกว่าผมหรือว่ามีเรื่องให้เครียดเยอะกันแน่   
               ผมก็พยายามเตือนมันหรอกนะ แต่มันไม่เคยได้ผลเท่ากับการชวนออกมาเที่ยวแบบนี้เลย พอคิดได้แบบนั้นก็เผลอตัวถามออกไป
     
               “ปีหน้าไปไหนดี?”          
               มาร์คหันมามองผม กระพริบตาสองสามที “ยังอยากไปอยู่?”
               “ไปสิ ไปกัน” ผมหัวเราะเบาๆ ยกนิ้วขึ้นมานับสถานที่ที่อยากไปแต่ยังไม่ได้ไป “ฮอกไกโด สเปน แคนาดา ขั้วโลกเหนือ..”
     
               “ไม่อยากไปฝรั่งเศสแล้ว?”

               ผมอมยิ้มกับคำถามย้อนของคนแถวนี้ที่ยังคาบบุหรี่อยู่ ไม่รู้ทำไม แต่ดีใจอยู่นะ
               “จำได้ด้วย?”



               ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ผมอยากไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ เคยอยากไปขนาดที่ว่าเรียนภาษาฝรั่งเศสพื้นฐานมานิดหน่อย แต่พอโตแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ไปซักที ไม่ติดงานก็ติดอย่างอื่น แถมหลังๆนี่เริ่มอยากไปเที่ยวแถบอื่นๆจนไม่ได้พูดถึงไปพักใหญ่ แปลกใจเหมือนกันที่มาร์คมันยังจำได้
               
               จริงๆตอนเด็กๆเราเคยคุยกันเรื่องนี้บ่อยๆครับ เราเคยคุยกันว่าจะไปแบคแพ็คที่นั่นที่นี่แบบที่เห็นในหนังสือหรือสารคดีท่องเที่ยว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำ ตอนม.ปลายอย่างมากก็แค่ออกต่างจังหวัด ตอนมหาลัยก็ได้แค่ใกล้ๆแบบโตเกียว ฮ่องกง ใต้หวัน อะไรแถบๆนี้ และพอได้ทำงานก็ตัวเป็นเกลียว.. ยุ่งเกินกว่าจะขอยื่นลาพักร้อนได้
               โครงการที่เคยพับทิ้งหลายต่อหลายครั้งของเราเพิ่งเป็นจริงตอนอายุ 25 นี่เอง

               “งั้นปีหน้าไปฝรั่งเศสกัน” 
               “ใคร?”
               “เราไง”

               มาร์คหัวเราะ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆกันทั้งที่ปากยังมีบุหรี่ที่ปล่อยควันอ้อยอิ่งไปกับลม   



               “ถ้าตอนนั้นมีแฟนก็ไปไม่ได้นะ..”





-----------------------------------------------------------------------------------------





               เราเดินกลับมาที่วิลล่าด้วยกันเงียบๆ ผมเดินแยกไปอาบน้ำ มาร์คเดินออกไปข้างนอกระเบียง ไม่มีประโยคอะไรต่อจากคำตอบของมาร์คแต่อย่างใด

               เปล่า ผมไม่ได้โกรธที่มาร์คตอบเหมือนจะปฏิเสธแบบนั้น จากที่รู้จักกันมามันไม่ประชดเสียดสีอะไรแบบนั้นหรอก และแน่นอนว่าคนที่มีแฟนแล้วไปเที่ยวไม่ได้ที่มันหมายถึง...ไม่ใช่ตัวมันเอง


               มาร์คไม่ใช่คนติดแฟนขนาดนั้น อย่างที่เห็นๆกัน ขี้เกียจขึ้นมาจะปฏิเสธใครก็ได้ทั้งนั้น เรื่องทิ้งแฟนไปเที่ยวนี่ถือว่าเฉยๆมาก แต่ผมไม่ใช่.. ผมแทบจะตัวติดกับแฟนตลอดถ้าทำได้ แล้วก็ไม่ชอบปฏิเสธหรือโกหกใครเท่าไหร่ ถ้าผมไปเที่ยวกับมาร์ค ผมก็จะบอกว่าไปเที่ยวกับมาร์ค แต่แน่นอนว่าถ้าคนที่รู้เป็นแฟนผม...ก็อาจจะไม่พอใจ
     
               จะว่าไปแล้ว.. ตอนแรกที่ชวนมาร์คมามัลดีฟ มันก็แทบจะไม่ตกลงมาด้วยซ้ำ
     
               ผมพยายามอยู่หลายวันเหมือนกันกว่ามันจะยอมตกลงซื้อตั๋วมาด้วยกัน ลงทุนตื้อสุดชีวิตทั้งเช้ากลางวันเย็น ไม่อยากจะบอกว่าทำอะไรไปบ้างแต่มันเหนื่อยนะครับ ขนาดกับแฟนยังไม่ทำขนาดนี้ ไม่ไปก็ไม่ไป แต่กับมาร์คมันอีกเรื่อง


               ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าเราพิเศษต่อกันและกัน ถ้าไม่ใช่มาร์ค ผมไม่ทำขนาดนี้ และถ้าไม่ใช่ผม มาร์คก็ไม่ยอมขนาดนี้ แต่ถ้าถามว่าเราพิเศษยังไงก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน..

     
               แฟนเหรอ? ไม่ใช่หรอก
     
               เพื่อนเหรอ..? ก็ไม่เชิงนะ
     
               ครอบครัวงั้นสิ? ก็เปล่าอยู่ดี..

     
               ผมไม่ใช่คนที่แยกแยะหรือว่าเก็บความรู้สึกเก่งนักหรอก เวลามีอะไรก็อยากจะทำให้มันชัดเจนจะได้จัดการง่ายๆ แน่นอนว่าอยากจะพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนออกไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็น.. มาร์คมันชอบขัดผมตลอด เหมือนมันชอบที่เราจะคลุมเครือกันแบบนี้ ผมเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามมันไป
               
               ผมไม่เข้าใจเหตุผลมันเลย..ตอนนั้นน่ะนะ แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง

     
               ถ้าชี้ชัดไปแล้วได้อะไร..?

               นั่นคือคำที่ผมคิดว่ามันน่าจะตอบกลับมา ซึ่งผมก็เถียงไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ

               ยิ่งไปกว่านั้น.. ผมยังไม่รู้เลยเถอะว่าถ้าให้ระบุ เราจะเรียกกันและกันว่าอะไร
               ถ้าเราเป็นเพื่อนกันเราก็คงไม่ใช่แบบนี้ ถ้าเราเป็นแฟนกันเราก็ยิ่งไม่ใช่แบบนี้ไปใหญ่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้มาร์คเป็นอะไรกับผม เพราะตอนนี้มันก็แทบจะเป็นทุกอย่างอยู่แล้ว มาร์คแทรกอยู่ในทุกสถานะความสัมพันธ์จนนิยามไม่ได้ มันไม่เคยมีอะไรครอบคลุมสิ่งที่เราเป็นต่อกันและกันได้เลย ดังนั้นจะมีชื่อ หรือไม่มีชื่อมันก็คงจะมีแต่ทำให้สิ่งที่เคยเป็นของเราเปลี่ยนไปจากเดิม


               นั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่คุยกันเรื่องนี้..







               ผมเดินออกจากห้องน้ำ กำลังจะเดินไปบอกให้คนที่นั่งตากลมตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ไปอาบบ้าง แต่พอเลื่อนประตูกระจกออกไปเท่านั้นก็เจอรูมเมทตัวเองนอนเหยียดยาวอยู่กับระเบียง ท่าทางสบายใจเหลือเกิน
     
               “มาร์ค.. ไปอาบน้ำ” พูดไปแบบนั้นก็จริง แต่ผมกลับทิ้งตัวเองลงนั่งข้างๆซะอย่างนั้น นั่งมองพระจันทร์ไปพลาง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปพลาง

               “นี่มาร์ค..”     
               “หืม”
               “ยังอยากไปฝรั่งเศสอยู่ไหม?”

               ผมถามคำถามเดิม ตอนนี้นั่งหันหลังให้อีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่ามาร์คกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ถึงได้เงียบไปนานขนาดนี้ พึมพำทวนคำตอบของอีกฝ่ายซ้ำทั้งที่ยังนั่งเหม่อออกไปสุดผืนน้ำ “ถ้าตอนนั้นพวกเรามีแฟนก็จะไม่ไปใช่มั้ย?”
               “อืม..”
               “...แล้วถ้าตอนนั้นเราสองคนไม่มีแฟน จะไปรึเปล่า?”
               
               อึดใจหนึ่งหลังจากนั้น คำตอบที่แผ่วยิ่งกว่าลมพัดก็ตอบกลับมา “..ไปสิ”
     
               “แล้วถ้ามาร์คมีแฟน จะไปอยู่ไหม?”
     
               ผมสูดหายใจลึก นิ่งรอคำตอบที่เหมือนจะใช้เวลายาวนานกว่าคำถามเมื่อครู่เป็นเท่าตัว มาร์คไม่ตอบอะไรออกมาจนผมต้องหันไปหาว่ามันยังไม่หลับ ก่อนจะสบเข้ากับสายตาคมๆที่มีแววสั่นไหวอยู่ข้างใน ไม่กี่ครั้งที่ผมจะเห็นมาร์คลังเลกับคำตอบ และทุกครั้ง มันเป็นกับเรื่องแบบนี้..
     
               “..มาร์ค”
     
               อีกฝ่ายหลับตาลงเหมือนจะกันไม่ให้ผมเห็น “..ถามทำไม ต้องการอะไร?”
     
               “ก็แค่อยากรู้..”




               “..เคยขัดใจได้ด้วยรึไง?”
     
     
               น้ำเสียงหนักแน่น แต่คำตอบกลับอ้อมโลกซะไม่มีทำเอาผมถอนหายใจยิ้มๆ มันไม่ได้ชี้ชัดว่าใช่หรือไม่ ตามสไตล์มาร์คกับคำถามประเภทนี้ แต่ที่แน่นอนคือ...มาร์คไม่ได้ปฏิเสธ แค่นั้นก็ชัดพอแล้ว ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ผมพอจะรู้อยู่บ้างแล้วก็เถอะ
               แต่พอได้ยินเข้าจริงๆ มันก็ดีใจนะ..

               ถ้าผมไม่มีใคร.. จะอะไรมาร์คก็ทำให้ได้ทั้งนั้น

     

               ผมเอนตัวลง เท้าแขนคร่อมไหล่คนที่ยังนอนแผ่ราบอยู่กับพื้นไม้เย็นๆ สบตาคู่นั้นที่พยายามจะค้นหาคำตอบจากการกระทำของผม แต่ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ผมซ่อนความรู้สึกไม่เก่งหรอก คิดอะไรอยู่ทั้งหน้าทั้งตาก็ไปแบบนั้น ถ้ามาร์คมันอ่านผมออกจริงๆ อะไรๆมันก็คงจะง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ
               หรือจริงๆแล้วมันอ่านออก แต่ทำเป็นไม่เข้าใจก็ไม่รู้..

     
               ผมกดจูบหนักๆกับริมฝีปากบางสวย เอนร่างคร่อมตัวมันมากกว่าครึ่งจนอีกฝ่ายต้องยกแขนขึ้นประคองไม่ให้เสียหลัก ลิ้นเราเกี่ยวกระหวัดรัดพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงดูดดึงเปียกแฉะภายในโพรงปากดังไปทั่ว ทะเลในเวลานี้เองก็เงียบเหลือเกิน บางทีวิลล่าข้างๆน่าจะรู้แล้วล่ะมั้งว่าเราทำอะไรกันอยู่
     
               “มาร์ค..”
     
               เสียงหอบหายใจมันอาจจะขัดจังหวะการสนทนาไปบ้าง แต่นั่นคือความผิดของมาร์คที่จูบจนผมเสียการควบคุม ดังนั้นผมจะไม่รู้สึกผิดกับมันหรอกนะ
               ลูกแก้วสีน้ำตาลนั่นปรือขึ้นมาสบกับของผม เว้นจังหวะให้ปากได้เป็นอิสระเหมือนจะรอฟังว่าผมจะพูดอะไร

               ซึ่งถ้ามันรู้ มันอาจจะไม่ทำก็ได้




               “ถ้าเรากลับไป จนกว่าจะปีหน้า..”
     
               “..อย่าเพิ่งมีแฟนเลยนะ”









ผมเคยดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ที่พูดถึงกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
     
ว่าด้วยเรื่องที่คนเราไม่สามารถได้สิ่งใด โดยไม่สูญเสียอีกสิ่งหนึ่งได้ ทุกอย่างต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ
     
ผมค่อนข้างจะเชื่อในเรื่องนั้น...


ตอนนี้ ผมเองก็กำลังจะใช้กฎที่ว่านั่น
     
ถ้าการที่ผมจะได้ใช้เวลากับมาร์คสองคน ทำหลายๆสิ่งที่เราสัญญาว่าจะทำตั้งแต่ตอนเด็กๆด้วยกันแล้วล่ะก็...
     
แค่ไม่มีแฟนหนึ่งปี หรือมากกว่านั้นน่ะ ไม่ลำบากเท่าไหร่หรอก




-----------------------------------------------------------------------------------------



#มสเพื่อนร่วมเตียง


LI5HT

Comments