BED FRIEND : 014



014


ใครๆก็บอกว่ามาร์คเป็นผู้ชายขรึมๆ คูลๆ สไตล์พูดน้อยต่อยหนักแบบพระเอกหนัง
     
แต่จะบอกให้อะไรให้นะ…
     
มาร์คน่ะ ขี้บ่นตัวพ่อเลย อย่างกับตาลุงแก่ๆก็มิปาน




               “วู้วววว!!~
     

               ผมผุดขึ้นมาจากผืนน้ำทะเลใสแจ๋ว ในที่สุดก็ได้ลงเล่นเสียทีทั้งที่มาถึงตั้งแต่เมื่อวาน จริงๆผมควรจะได้เล่นมันตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ติดที่อะไรหลายๆอย่างและ...การเมาค้าง ใช่ นั่นแหละปัจจัยหลักเลยที่ทำให้ไม่ได้มาเล่นสักที
     
               “มาร์ค! ลงมาเล่นด้วยกันดิ!” ผมชวนไอ้คนที่ยังทำตัวหล่อดูดบุหรี่อยู่บนวิลล่า คือเราจองที่พักแบบที่อยู่กลางทะเลเลยครับ ซึ่งมันเรียกโอเชี่ยนอะไรซักอย่างที่ผมไม่ได้คิดจะจำ อันจะเป็นแบบที่มีบันไดจากที่พักลงไปที่ทะเลได้ทันที สะดวกและง่ายต่อการเล่นน้ำเมื่อไหร่ก็ได้
               “โคตรเย็นอ่ะ สดชื่นกว่าบุหรี่อีกนะ! มาเห้อะ!”

               มาร์คพ่นควันพลางหัวเราะหึ ยังไม่ยอมลงมาซักทีเพราะบุหรี่ยังไม่หมดมวน ครั้นจะไปขัดจังหวะการอัดนิโคตินมันด้วยการสาดน้ำใส่เดี๋ยวพ่อก็จะพิโรธอีก แต่ถ้าผมไม่ถึงเนื้อถึงตัวหน่อยมันก็ไม่ยอมลงมาแน่ๆ สุดท้ายเลยจำเป็นต้องไต่บันไดกลับขึ้นไปบนวิลล่าอีกครั้ง จับดึงเอาขามันที่พาดหย่อนลงมาไว้แน่น
      
               “แจ็คสัน…” มันหรี่ตา กดเสียงต่ำเหมือนจะบอกว่า ‘อย่าเล่นแปลกๆเชียวนะ’
     
               “ถ้าลงก็ไม่ดึงไง ลงมาสิ” ผมยักคิ้วให้คนที่ยังดูดบุหรี่ควันปุ๋ย ช่วงนี้มาร์คสูบไม่ถี่เท่าไหร่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เอะอะดูดเอะอะดูดเหมือนตอนที่รับโปรเจครอบที่แล้ว เห็นมั้ยว่าการมาเที่ยวช่วยคลายเครียด แถมประหยัดตังค์ค่าบุหรี่ด้วย!
               
               “..เดี๋ยวก็ลง”
     
               “พูดงี้ไม่มีทางลงหรอก”
     
               “รู้ได้ไงว่าไม่ลง..?”

               นิ้วยาวๆนั่นลูบหัวผมเบาๆ ถึงปากจะยังคาบบุหรี่และยังเล่นตัวไม่ยอมทำตามที่ขอสักที...แต่สัมผัสนั้นโคตรจะอ่อนโยน อ่อนโยนจนต้องคลานขึ้นไปเอาหัวแปะกับตักมันให้กางเกงชุ่มกันไปข้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้โวยวายอะไร แถมยังลูบหัวลูบหูผมไปเรื่อยอย่างกับเล่นกับหมาแถวบ้านยังไงยังงั้น
     
               ตอนแรกก็คิดว่าคงคิดไปเอง แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะมั่นใจแล้วว่ะว่ามาร์คมัน...ค่อนข้างจะโอ๋ผมอยู่มากตั้งแต่เรามาที่นี่ด้วยกัน แล้วผมก็อ้อนมันบ่อยขึ้นเพราะสาเหตุนั้น เอะอะอะไรก็เอาตัวเองไปเกี่ยวไปพันกับมันจนเกินปกติ บางทีก็สงสัยตัวเองว่ากลายเป็นคนขี้อ้อนตั้งแต่เมื่อไหร่
     
               ...แต่เรื่องนี้ต้องเป็นความผิดของมาร์ค ต้วน อย่างแน่นอน


     
               “ลูบงี้แล้วชาติไหนได้เล่น?”
     
               “ก็นอนอยู่อย่างนี้แล้วชาติไหนได้เล่นล่ะ?”

               ผมล่ะเกลียดการยอกย้อน

     
               มือที่ว่างอีกข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นไปดึงบุหรี่ที่มาร์คคาบไว้ ส่งมันเข้าปากตัวเองแบบไม่สนใจเสียงประท้วงโวยวายของใครทั้งนั้น แต่ให้ดิ้นสิ บุหรี่มาร์คมันฉุนกว่าของผมอยู่หลายขุม แถมยังรสมินต์จัดๆที่เย็นซู่ตั้งแต่หัวยันเท้าจนต้องดึงออกทั้งที่ดูดไปได้ครึ่งลมหายใจเท่านั้น เสียบกลับเข้าปากมันไปอย่างเดิม
     
               “ฉุนว่ะ สูบไปได้ยังไงเนี่ย”

               เสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่เป็นหมอนจำเป็นพร้อมกับแรงดึงที่แก้มขวาเบาๆทำเอาผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม หมั่นไส้มัน แต่ก็ไม่นานหรอกครับ เพราะพอมันก้มตัวลงมาพร้อมกับแตะปากมันลงกับของผมได้เท่านั้น ไอ้ความหมั่นไส้นั่นก็ละลายไปกับอากาศ เหลือแต่เสียงอืออาในลำคอเท่านั้น





----------------------------------------------------------------------------------------------------





               “ไปไหน?”

               ทันทีที่ผมลุกขึ้นจากโซฟา ไอ้คนที่ผมนึกว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อกี้ก็ทักขึ้นมาแบบไม่มีสัญญาณเตือนอะไร ทั้งๆที่เมื่อกี้มันเอนตัวลงโซฟาข้างๆแล้วเงียบไปพักใหญ่ นึกว่าจะเพลียหลังจากใช้แรงไปเยอะขนาดนั้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนแล้วน็อคไปซะอีก



               ...ก็ดันเล่นน้ำติดกันเป็นชั่วโมงแบบนั้นนี่นะ



               อะไร? คิดอะไรอยู่ หืมมม?



               “หาข้าวกิน เอาไรมะ?”
               จริงๆเราจะสั่งอาหารจากรูมเซอร์วิสอีกก็ได้หรอกครับ แต่ว่าผมเบื่อ อยากลองกินอย่างอื่นดูบ้าง บนเกาะนี้ก็น่าจะมีซักร้านสองร้านละมั้งที่ยอมขายแบบ take away ให้ แถมน้ำที่เราจะได้เป็นเซอร์วิสก็เพิ่งหมดไปเมื่อกี้ ขึ้นจากทะเลมาก็คอแห้งยกกระดกกันคนละขวด รู้ตัวอีกทีนี่เกลี้ยงเลย
               
               “อะไรก็ได้ เยอะๆ” คนที่ยังเอาหน้าไถโซฟาอู้อี้ตอบ ท่าทางขี้เกียจสุดชีวิต “ซื้อน้ำให้ด้วยนะ เอาขวดใหญ่ๆสองขวด..ไม่สิ สามเลย”
     
               “โห.. ได้ทีละใช้ใหญ่”
     
               “ก็เล่นน้ำเป็นเพื่อนแล้วไง.. เหนื่อยแล้ว”
     
               เหอะ ที่อย่างนี้ล่ะทำเหนื่อยง่าย ทีเรื่องอื่นล่ะมาราธอนทั้งคืนยังไม่เห็นเหนื่อยวะ!?

    
               ผมอดไม่ได้ที่จะเดินไปตบก้นมันด้วยความหมั่นไส้แบบที่มันชอบทำผม แน่นอน มันยกมือขึ้นมาหมายจะตบกลับทันที แต่เพราะผมรีบวิ่งหนีออกมามันเลยคว้าได้แต่อากาศ ผมขำก๊าก หันไปทำหน้าทะเล้นใส่ไอ้คนที่มันยังคงชี้หน้าคาดโทษผมไว้ตรงนั้นก่อนจะผลุนผลันออกไปซื้อข้าวอย่างที่บอก




               ผมเดินออกจากโซนที่เป็นวิลล่ากลางทะเลออกมาที่หาด โชคดีจริงๆครับที่เอาแค่แตะมาไม่ได้พ่วงรองเท้ามาอีกคู่เพราะยังไงเท้าก็ต้องเปียกอยู่ดี ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้ผ้าใบเดินแถวนี้แน่ๆ แถมทรายที่ติดรองเท้ามาเนี่ยน่ารำคาญเป็นบ้า ยังดีที่พอเป็นแตะแล้วมันพอจะสะบัดๆออกได้บ้างนะ
               หลังจากเดินวนสักพัก ผมก็ตัดสินใจแวะซื้อข้าวเที่ยงง่ายๆจากร้านคาเฟ่แถวนั้น อย่าแช่งผมเลยว่าทำไมมาต่างประเทศแล้วไม่กินอาหารพื้นเมือง โปรดเข้าใจความเซนซิทีฟของคนกินเผ็ดไม่ได้อย่างผมด้วย แค่เห็นป้ายว่า curry ผมก็แทบจะเดินถอยไกลๆแล้ว ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือพวกคาเฟ่หรือบิสโตรที่ขายพวกแซนวิช เบอร์เกอร์ หรืออะไรที่ผมพอจะคุ้นๆรสมันอยู่บ้างนี่แหละ

               “อ้าว.. แจ็คสัน”
     
               เสียงทักจากข้างหลังในขณะที่ผมกำลังนั่งรออาหารอยู่ตรงเก้าอี้มุมหนึ่ง และเมื่อหันไปหาก็เจอคนที่มาร์คพูดถึงเมื่อเช้าเข้าพอดี
               ...ความอายุยืนนี่มันสุดๆไปเลย
     
               ใช่.. โจวมี่ไง โจวมี่ที่เป็นแฟนคนแรกของผม และทิ้งผมไปคบกับรุ่นพี่คนอื่นนั่นไง

               “อ่า.. หวัดดี..” ผมทักอย่างเสียไม่ได้ คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะคุยสองสามคำ แต่ที่ไหนได้ ดันหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ดูทรงแล้วบทสนทนาน่าจะยืดออกไปอีกไกลกว่าที่ผมอยากให้เป็น
     
               “เมื่อคืนเจอมาร์คแล้ว” โจวมี่ก็ยังเหมือนเดิมครับ… คุยเก่ง และไม่แคร์ว่าคนฟังอยากฟังไหมเช่นเคย “หล่อเหมือนเดิม.. ไม่สิ หล่อกว่าตอนมัธยมอีกเนาะ”
               ผมได้แต่พยักหน้าแกนๆ ตามองไปที่เคาท์เตอร์เหมือนจะภาวนาให้อาหารที่สั่งรีบๆออกมา ไม่อยากจะเสริมบทสนทนาให้ยาวออกไปแม้ใจอยากจะบอกว่าไอ้บ้านั่นหล่อตั้งแต่เกิดแล้ว ตั้งแต่จำความได้ว่าเห็นหน้ามันก็รับรู้ได้แหละว่าหนังหน้าดีผิดมนุษย์
     
               “แล้ว..มาร์คมีแฟนยัง?”
     
               ผมเลิกคิ้ว อย่าบอกนะว่า.. “เพิ่งเลิกไปเมื่อเดือนก่อน.. ทำไม?”
     
               “ก็อยากลองจีบดู” คนข้างๆยักคิ้วหลิ่วตา เหมือนที่ทำตอนมัธยมไม่มีผิด และผมจำได้ว่าเคยใจเต้นแรงกับมันจนเกือบไม่เป็นผู้เป็นคน แต่ทำไมตอนนี้มันช่างดูขัดใจเหลือเกินก็ไม่รู้ “..ถ้าไม่มีแฟนก็แปลว่าโอเคไม่ใช่รึไง?”
     
               ผมถอนหายใจ ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าคิดว่าทำได้ก็เอา แต่ฉันว่าไม่..”  
     
               “ดูนายมั่นใจนะ”
     
               “ก็พอตัว..” ผมยักคิ้วกลับบ้าง อย่างนี้ไม่ใช่เสป็คมาร์คหรอกครับ เชื่อผม ผมเป็นเพื่อนมันมายี่สิบห้าปี ปีนี้ยี่สิบหกแล้วด้วยเนี่ย แฟนมาร์คถ้าไม่เอ็กซ์แตกระเบิดระเบ้อก็น่ารักไปเลย มีแค่สองอย่าง โจวมี่นี่ถือว่ายังไม่อยู่ในเกณฑ์ใดอย่างเต็มตัว แถมเป็นแฟนเก่าผม มาร์คไม่น่าจะเลือกจริงๆด้วยประการทั้งปวง
     

               แต่แทนที่จะสลด โจวมี่กลับเหยียดยิ้ม
     
               “คืนนี้ที่บาร์ สี่ทุ่ม ฝากไปนัดให้หน่อยนะ จะได้รู้ว่าติดหรือไม่ติด”
               

               สิ้นเสียงกระซิบเบาๆและการตบไหล่ปั่บๆสองที โจวมี่ก็ผลักประตูออกไป พร้อมกันกับที่อาหารของผมมาเสิร์ฟเอาได้ผิดจังหวะชิบหาย เลยพาลไม่ทิปแล้วกลับห้องแม่งเลยละกัน!






----------------------------------------------------------------------------------------------------







               ผมเดินถือข้าวของกลับไปที่วิลล่า ไม่รู้ว่าทำหน้าแบบไหนเหมือนกัน แต่มาร์คมันทักผมบอกว่าหน้าเหมือนไปโกรธใครมา ผมเลี่ยงจะไม่พูดถึงและกินข้าวกับมันไปเงียบๆ ในหัวก็คิดถึงเหตุการณ์ในคาเฟ่เมื่อกี้ไปด้วย
     
               แน่ล่ะ มาร์คคงไม่หน้ามืดเอาโจวมี่มาทำแฟน แต่เรื่องวันไนท์แสตนด์..ไม่แน่

               ไม่รู้ว่าเพื่อนผมแม่งหื่นหรือยังไง แต่มันได้หมดจริงๆ ยังไม่ค่อยเห็นมันปฏิเสธคำเชิญชวนของใครมาก่อนไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้ามันว่างและอารมณ์ชิลจะใครก็ได้ทั้งนั้น และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปยุ่งกับมัน..
               
               แต่นั่นคือโจวมี่อ่ะ..!
               โจวมี่ที่ผมไม่ชอบขี้หน้า! ก็เลยไม่อยากให้แม่งได้ดั่งใจอ่ะ เข้าใจมั้ย!?

     
               ผมคิดวนไปวนมาหลายตลบ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกมาร์คมันไปตามตรงว่าเจอกับใครที่ไหนอย่างไร อีกฝ่ายก็แค่เคี้ยวแซนวิชแก้มตุ่ย พยักหน้ารับนิ่งๆเท่านั้น ไม่บอกว่าจะตกลงหรือปฏิเสธ เดาใจยากอีกแล้ว
     
               “..มาร์ค” ผมเรียกให้ไอ้คนที่สนใจทูน่าในมือมากกว่าเรื่องที่ผมกำลังซีเรียสอยู่เงยหน้าขึ้นมา “ละจะไปป่ะ?”
     
               ผมรอมันเคี้ยวและกลืนให้เรียบร้อย ยาวนานจนเกือบจะถอดใจเลิกลุ้นคำตอบละเนี่ย “ทำไมล่ะ?”
     
               “ก็…” ผมลังเล ไม่รู้จะพูดยังไงให้มันไม่ดูเอาแต่ใจมากเกินไปดี คือผมก็เข้าใจนะเว้ยว่าเหตุผลที่ว่าผมไม่ชอบโจวมี่เลยไม่อยากให้ไปมันก็พอจะฟังขึ้น แต่พอเป็นผู้ชายตัวโตๆกันแล้วก็ควรจะปล่อยวางบ้าง ซึ่งผมไม่ใช่ไงเว้ย “นั่นโจวมี่ไง..”
     
               “หวงแฟนเก่า?”
     
               “ตลกล่ะมาร์ค” ไม่ต้องคิดเลยกับประโยคนี้ บ้าเรอะ หวงมันไปทำไม “ก็ไม่อยากให้ไป.. ไม่ชอบไง”

     

               คนที่เพิ่งยัดแซนวิชยาว 1 ฟุตลงท้องไปเช็คมือกับทิชชู่แถวนั้น หัวเราะเบาๆไปพลางในขณะที่เทน้ำใส่แก้วไว้ให้ทั้งผมและตัวเอง ยกดื่มอึกๆเป็นการปิดมื้อเที่ยงแบบบ่ายๆของเราไปง่ายๆแบบนั้น แต่บทสนทนาที่ยืดเยื้อเพราะคนแถวนี้เล่นตัวยังคงไม่จบ
     
               “ไม่ได้ไปเองซะหน่อย เดือดร้อนทำไม?” น้ำเสียงยียวนขั้นสุดกับหน้าตาที่ไม่ได้ต่างกันเริ่มทำให้ผมหมดความอดทน ย้ายตัวเองไปนั่งทับขามันเอาไว้อย่างหาเรื่อง
     
               “พูดแบบนี้คือจะไป?”

               เสียงผมดูเหมือนหาเรื่องเกินไปรึเปล่านะ มาร์คมันถึงได้ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเล่นอีกแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มาเป็นลูกหมาให้แม่งหรอก มือที่ยุ่มย่ามกับหัวนั่นเลยโดนปัดทิ้งด้วยความหงุดหงิดแทน ส่งผลให้เจ้าของมันถอนหายใจพลางบ่นพึมพำ
     
               “เอาแต่ใจ..”
     
               แล้วไงวะ? เอาแต่ใจแล้วยังไง!? มันไม่เกี่ยวกันป่ะ “สรุปจะไปไม่ไป? เล่นตัวว่ะมาร์ค”
     
               “..ถ้ามีอะไรน่าสนใจกว่า..ก็ไม่ไป”

               หน้าหล่อๆที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์กับเสียงแหบต่ำนั่นขยับเข้ามาใกล้ มาร์คกดปากลงกับต้นคอผม จูบไล่ตั้งแต่ข้างบนลงมาหนักๆจนต้องปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกกว้างอีกเพื่อให้อีกฝ่ายสัมผัสได้มากขึ้น ปล่อยมาร์คหัวเราะหึอยู่กับผิวตรงนั้น ก่อนที่มันจะงับเบาๆที่ตรงจุดที่ทำให้ผมร้องครางเสมอ

               “..อืออ..” ผมแทบจะถอดเสื้อตัวเองโยนทิ้งเสียให้ได้เมื่อปากและลิ้นของอีกฝ่ายยังคงวนเวียนอยู่บนอกและทำให้รู้สึกหวิวๆทุกครั้งที่ถูกหยอกด้วยปลายลิ้น และเสียวซ่านจนตัวเกร็งไปหมดเมื่อโดนดูดรั้งแรงๆ “อื้ออ.. อยะ..อย่าทำข้างเดียวดิ”
               อะไรเล่า ก็คนพูดจริงๆ ทำไมต้องขำด้วยวะ!?
     
               แต่ถึงจะขำ มาร์คมันก็ก้มลงทำให้อีกข้างอยู่ดีแหละครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแม่งต้องรู้สึกดีขนาดนี้ด้วย ผมได้แต่นั่งบิดไปมา มองดูมาร์คมันเล่นกับร่างกายตัวเองด้วยท่าทางมีความสุขเสียจนหมั่นไส้ในความเล่นตัวของแม่งก่อนหน้านี้ อยากจะขุดตั้งโคตรเหง้าเหล่าม่ามันมาด่า แต่ด้วยความที่ฟันคมนั่นงับลงมาเสียก่อน ไอ้ที่ว่าจะด่าเลยเหลือแต่เสียงครางเบาๆเท่านั้น

               แต่เดี๋ยวนะ...
          
               ผมผลักหัวอีกคนออกห่างนิดๆ หรี่ตาพลางถามย้ำอีกทีเพื่อให้มั่นใจ

               “ไปไม่ไป?”
     
               มาร์คถอนหายใจใส่ผมแรงๆทีหนึ่ง มันคงเสียอารมณ์น่าดูที่ถูกขัดจังหวะเอากลางคันแบบนี้ ก่อนจะยกมือยอมแพ้ด้วยหน้าตาที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเต็มใจ๊เต็มใจ..
     

               “ไม่ไปแล้วครับ… ไม่ไปแล้ว”
               “ทำต่อได้ยัง?”



               ก็แค่นั้นแหละ!!







ใครๆก็บอกว่ามาร์คเป็นผู้ชายขรึมๆ คูลๆ สไตล์พูดน้อยต่อยหนักแบบพระเอกหนัง
     
แต่จะบอกให้อะไรให้นะ…
     
มาร์คน่ะ ขี้บ่นตัวพ่อเลย อย่างกับตาลุงแก่ๆก็มิปาน



มาร์คชอบบ่นว่าผมเอาแต่ใจ งอแง ดื้อเหมือนเด็ก ...ซึ่งผมจะไม่เถียงก็ได้
     
แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของผมคนเดียวซะหน่อย การที่มาร์คจะมาบ่นผมคนเดียวนั่นไม่ถูกเลย

     
มันผิดตั้งแต่คนแถวนี้ที่ตามใจบ่อยๆแล้วต่างหาก!

ม า ร์ ค ผิ ด !







----------------------------------------------------------------------------------------------------



#มสเพื่อนร่วมเตียง
     
#มีตอนน่ารักๆกับเขาบ้าง.. #หนักหน่วงมาจนเหนื่อยแล้ว...

LI5HT

Comments