BED FRIEND : 013



013

เมื่อคนเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน เราจะพยายามให้คำนิยามกับมัน
     
ส่วนมากมักจะมาให้รูปแบบของ ‘สถานะความสัมพันธ์’ และที่พบเห็นบ่อยๆคือ ‘แฟน’
     
แต่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะใช้นิยามแจ็คสัน




               ผมตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว สาเหตุไม่ต้องถามก็พอจะรู้ๆกันอยู่
     
               B52 ห้าช็อตรวดทำผมกับแจ็คสันน็อคตั้งแต่ยกที่ 2 ไม่ทันได้รู้ว่าเสร็จรึเปล่าเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมยันตัวเองออกจากอีกฝ่ายเพื่อจะบิดขี้เกียจคลายเมื่อยเสียหน่อย ไอ้ความรู้สึกขัดๆที่ช่วงเอวก็ทำให้ต้องขมวดคิ้ว
     
               โอเค ..เมื่อคืนคงยังไม่จบยกดีแน่ๆ ผมมั่นใจ

               ในเมื่อผมยังอยู่ในตัวแจ็คสันอยู่เลย



               มันยังคงนอนนิ่ง ขาก่ายขึ้นมาถึงเอว มือเกาะกอดผมอย่างกับว่าเป็นหมอนข้างส่วนตัวของมันอย่างนั้นแหละ เราไม่ค่อยนอนเตียงเดียวกันเท่าไหร่หลังจากพ้นประถมขึ้นมา ยิ่งหลังจากทำกันยิ่งไม่บ่อยไปใหญ่ นี่อาจเพราะเราน็อคไปก่อนนั่นแหละถึงได้ยังอยู่ด้วยกัน
               ผมย่อตัวลงนิด พยายามถอนตัวออกจากความอุ่นนุ่มที่โอบรัดตรงหน้า จริงๆมันค่อนข้างจะสบายมากนะครับ แต่ถ้าไม่เอาออกก็คงโดนบ่นหูชาแน่ๆ
     
               “ฮื่อ..”
     
               แต่ทันทีที่ขยับออกได้แค่นิดเดียว ไอ้คนตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว พ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจเหมือนไปกวนมันอย่างนั้นแหละ ปากแดงเบ้นิดๆอย่างขัดใจก่อนจะขยับเข้ามาซุกเหมือนเดิมจนไอ้ที่พยายามดึงออกนั่น..กลับเข้าไปอยู่ที่เดิม
     
               ก็เข้าใจว่าง่วง เข้าใจว่ากวน แต่แจ็คสันต้องเข้าใจผมบ้าง..
               จะเอาออกแบบที่ไม่ให้กระเทือนมันยากนะ!

               สูดหายใจลึกก่อนจะลองใหม่อีกที คราวนี้พยายามเบากว่าคราวแรกแล้วนะ ค่อยๆถอยค่อยๆดึงออก แต่คุณพอจะเข้าใจไหมว่าขนาดก็..ไม่ใช่เล็กๆ ไอ้ตรงนั้นก็ไม่ใช่จะหลวม จะให้หลุดออกมาทีเดียวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ใช่เรื่อง ผนวกกับความฝืดเป็นปกติทำเอาสะโพกอีกฝ่ายกระเทือนทุกจังหวะเมื่อผมพยายามจะดึงมันออก

               “...อาาาา..”
     
               “อะ...อืมมมม”

               เสียงครางแผ่วๆทั้งที่ตาก็ไม่ได้ลืมขึ้น สะโพกแน่นและร่างกายอุ่นๆที่กระแซะสวนกลับเข้ามาทุกครั้งที่ขยับห่าง ข้างในที่เริ่มจะบีบรัดผมอีกรอบตามธรรมชาติ… ทุกอย่างทำให้ผมกัดฟันแน่น ไอ้ความรู้สึกที่อยากจะดึงออกเบาๆไม่ให้มันตื่นเริ่มหายไปจากหัว อะไรๆก็เริ่มจะตอบสนองอย่างที่มันควรจะเป็นตามการกระตุ้นที่ได้รับ

               “แจ็คสัน..”
     
               ตาสองชั้นคู่นั้นยังคงไม่ลืมขึ้น แต่ว่ารอยยิ้มที่มุมปากสีแดงช้ำนั่นบ่งบอกว่าผมกำลังโดนแกล้งเข้าให้แล้ว
     
               “เลิกเล่น ตื่นได้แล้ว”
     
               ผมยกขามันขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะใช้มืออีกข้างยกสะโพกแน่นนั่นขึ้นนิดๆ เพื่อให้ส่วนที่กำลังจะคืนสภาพพร้อมรบของผมรูดไถลออกมาจากที่ที่มันแช่อยู่มาทั้งคืนก่อนที่อารมณ์จะเตลิดไปไกลกว่านี้ แจ็คสันมองดูมันนิ่งๆราวกับจะยินยอม แต่เมื่อใกล้จะหลุดออกมาทั้งหมดเท่านั้น มันกลับสวนร่างเข้ามาชิดอีกรอบ แถมแรงกว่าตอนที่ผมดึงออกจนครางหวิว หัวเราะคิกคักทั้งที่ตายังกึ่งหลับกึ่งลืม

     
               ความพยายามทั้งหมดของผมกลับไปเริ่มใหม่ที่ศูนย์อีกครั้ง








               “ไม่ทันกินข้าวเช้าเลย..”
     
               คนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดผมบ่นหงุงหงิง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เสื้อกล้ามกับกางเกงฮาวาย
     
               “เพราะใครล่ะ?”
     
               ผมนอนพลิกใบรายการอาหารของรูมเซอร์วิส แน่ล่ะ บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าของที่นี่เริ่ม 8 โมงหมด 10 โมง แต่กว่าผมกับแจ็คสันจะจัดการธุระเสร็จก็สิบโมงครึ่ง แถมยังต้องเก็บกวาดซากอารยธรรมเมื่อคืน ทั้งชั้นใน เสื้อ กางเกง มันลอยไปอยู่ทั่วห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าเมาแล้วใครเป็นยังไงเสื้อผ้าถึงได้กระจัดกระจายขนาดนี้
     
               “เพราะมาร์คไง”
               เสียงแจ้วๆนั้นเจือหัวเราะ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆกัน หยิบใบเมนูไปดู “ถ้าไม่ทำก็ทันแล้ว มาร์คผิด”

               อยากจะด่ากลับหรอกนะ แต่ตอนนี้หิว หันไปถามว่าอีกฝ่ายจะกินอะไรแทนดูจะมีประโยชน์กว่า


               เราโทรสั่งอาหารกันสองสามอย่างและนอนรอให้มาเสิร์ฟที่ห้อง แจ็คสันเหมือนบ่นๆว่าอยากจะลงเล่นน้ำแต่ผมรั้งให้มันรอกินข้าวเช้าให้เสร็จก่อนค่อยลง และเมื่อผมเดินออกจากห้องน้ำมาได้ก็เจอมันกำลังรื้อกระเป๋าหากางเกงว่ายน้ำตัวโปรด

               “มาร์ค เมื่อคืนจ่ายค่าค็อกเทลยัง?”

               “จ่ายแล้ว” ...ถ้าจำไม่ผิดนะ เมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าจะมีสติสตังอะไรมากหรอกนะครับ จำได้แค่ลางๆเท่านั้น จำได้ว่าใช้เงินตัวเองออกไปก่อนสำหรับอีกคนด้วย “เออ เมื่อคืนเจอหมอนั่นด้วย”
     
               “หมอนั่น?”
     
               “โจวมี่..”
     
               อีกฝ่ายเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะถามว่า ‘มายังไง?’ แต่ถ้าทำได้ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันแหละ
               
               “ไม่รู้ว่ามาไงเหมือนกัน คุยกันนิดหน่อย แต่จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรไปบ้าง”



               โจวมี่ (จริงๆควรเรียกพี่โจวมี่แต่ผมเลือกที่จะละมันไว้) เป็นแฟนคนแรกของแจ็คสัน.. คบกันตอนแจ็คสันอายุ 13 เป็นรุ่นพี่ในชมรมบาสเดียวกัน  จะเรียกว่าเป็นคนที่ทำให้แจ็คสันมันรู้ตัวว่าเป็นเกย์ก็ไม่ผิดนัก
               แต่ก็นั่นแหละ รักแรกมักไม่สมหวังอย่างที่เขาว่าอย่างไร แจ็คสันกับโจวมี่ก็เป็นแบบนั้นเป๊ะๆ ความหงุงหงิงหวานแหววในห้าเดือนแรกจบลงในวันหนึ่งที่แจ็คสันวิ่งขึ้นมาร้องไห้บนห้องผมตอนห้าทุ่มเพราะถูกบอกเลิกทางโทรศัพท์ ผม.. ที่ตอนนั้นยังเป็นคนดีอยู่มากจึงนั่งปลอบมันตั้งแต่ห้าทุ่มถึงตีสาม และตื่นไปเรียนในวันต่อไปด้วยตาที่ช้ำไม่แพ้กัน
     
               เพื่อไปพบความจริงที่ว่า.. โจวมี่มีแฟนใหม่อยู่ม.ปลายโรงเรียนเรานี่เอง

               พอคิดถึงแล้วตลกเป็นบ้า

               “เราไปทักดีมะ?” แจ็คสันหันมาทำหน้าตายียวน เหอะ ทีตอนนั้นล่ะร้องไห้จะเป็นจะตาย ทีตอนนี้ล่ะจะไปทัก
     
               “ร้องไห้กลับมาอีกทำไงล่ะ”
     
               “แคร์อะไร มีมาร์คปลอบทั้งคนนี่”
     
               ผมโยกหัวมันเล่นเบาๆ ถอนหายใจอย่างระอากับคำตอบที่เร็วจนเหมือนว่าไม่ต้องคิดเลยของอีกฝ่าย ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆกันที่ยังว่างอยู่
               “ถ้าเจออีกรอบ ยังจะขอคบอยู่มั้ย?”
     
               ผมแกล้งแหย่ ก่อนจะได้รับหน้าตาแหยเกกับการแลบลิ้นส่งท้ายเป็นของแถม






               จริงๆแล้ว.. ที่บอกว่าจำไม่ได้ว่าพูดอะไรกับโจวมี่น่ะ.. โกหก  

               ‘ไง..’ อีกฝ่ายทักก่อน อาจจะเพราะหน้าตาผมในตอนนี้กับตอนเด็กไม่ค่อยต่างกันนัก แม้จะไม่เห็นกัน 10 กว่าปีโจวมี่ก็ยังจำได้ และผมเองก็จำอีกฝ่ายได้...เพียงเพราะเป็นแฟนคนแรกของแจ็คสัน

               
               ผมไม่ได้ตอบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร อาศัยความมึนของแอลกอฮอล์เป็นข้ออ้างที่จะเงียบ ขณะที่อีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งที่บาร์ ตำแหน่งเดิมที่แจ็คสันที่ลุกไปเมื่อครู่เคยนั่ง ‘มากับแจ็คสองคนเหรอ?’

               ‘ใช่..’ ผมตอบ เสียงไม่ค่อยจะปกติเพราะค่อนข้างมึน มันสูงๆต่ำผิดคีย์พิกลไปหมดทั้งประโยค ‘..ทำไม’

               ‘เปล่า’ อีกฝ่ายยิ้มขำ ดูจากการที่ไม่ได้สั่งเครื่องดื่มอะไรจากตรงบาร์ เท่ากับว่าตั้งใจเข้ามาคุยกับผมโดยเฉพาะ ‘แปลกใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่’


    
               อย่าว่าแต่มาเจอเลย แค่จะมาเหยียบที่นี่ผมก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน จนกระทั่งแจ็คสันมันลากมานี่แหละ


     
               ‘...ก็แค่มาเที่ยว’ ผมตอบไปตามตรง ก็เพราะใครบางคนที่เห็นเพื่อนอัพรูปก็ตะแง้วๆจะไปให้ได้บ้างจนต้องไปซื้อตั๋วเพื่ออุดปากมันให้จบๆไป และมาเที่ยวตามที่มันบัญชาเท่านั้น


               อีกฝ่ายเท้าคางกับบาร์ไม้ ขยับยิ้มที่ยังไม่หลุดออกจากใบหน้าตั้งแต่คำถามแรก ‘คบกันรึยัง?’  
   
               ‘ใคร?’

               ‘นายกับแจ็ค’

     
               ผมขมวดคิ้ว มองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจกับคำถามนัก ‘ไม่.. เราไม่เคยคบกัน ไม่คิดด้วย’
               ผมจำได้ว่าโจวมี่ถามซ้ำเหมือนจะยืนยันให้แน่ใจ ก่อนจะหัวเราะเมื่อผมทำหน้าจริงจังตอบกลับไปจนเกือบตกเก้าอี้ มือตบไหล่ผมป้าบๆอย่างกับมันเป็นอะไรที่ตลกมากอย่างนั้นแหละ

     
               ‘ตอนนั้นแจ็คก็พูดแบบนี้ หน้านี้เลย’
               ‘พี่นึกว่าประชด เพราะเห็นเราสนิทกัน นี่ตกลงคิดแบบนี้กันจริงๆ?’

     
               ผมไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้า ก่อนจะจ่ายเงินค่าค็อกเทลของเราเมื่อครู่ ขอตัวจากคนที่เข้ามาทักอย่างผิดคาดในคืนนี้ก่อนจะกลับห้องตัวเอง

               ผมไม่เคยอยากคบกับแจ็คสัน และผมเชื่อว่า แจ็คสันเองก็น่าจะคิดแบบนั้นด้วย
     
               ..เราจะคบกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่อีกฝ่าย

     

               ส่วนเหตุผลนั่น.. ไม่มีใครสนใจหรอก







-----------------------------------------------------------------------------------------





               “มาร์ค..”

               ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่เนื้อชิ้นเบ้อเร่อจะมาจ่ออยู่ที่ปากจนต้องงับเข้าปากไปก่อนที่ซอสมันจะหยดลงเสื้อ ส่วนคนที่ยื่นมาก็หัวเราะกับหน้าผมตอนที่อาหารเต็มปาก
     
               ผมเอาส้อมทิ่มกุ้งตัวโตๆไปเบียดปากมันบ้างเป็นการเอาคืน แน่ล่ะว่ามันกินเข้าไปไม่ได้จนต้องฮึดฮัดเบี่ยงหน้าหนีพัลวัน แต่ผมก็ยิ่งไล่ตามจนการกินข้าวกลายเป็นสงครามในการไล่เอานั่นเอานี่ยัดปากอีกคนจนหอบแฮ่ก กลับมานั่งบนโซฟาที่เดิมทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุด

               เอาจริงๆเล่นปัญญาอ่อนแบบนี้ผมไม่เคยทำกับใครคนไหนมาก่อน แฟนยิ่งไม่มีทาง คือ..ว่าไงดีล่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นแฟนที่ผมชอบมากๆก็ตาม แต่เราก็จะมีเสปซระหว่างกันและกันอยู่บ้างในทุกๆเรื่องอยู่ดี เหมือนกับว่าเรายังคงไล่ตามหาส่วนที่จะเข้ากันได้ระหว่างกัน หยั่งเชิง ทดลองปลดปล่อยความเป็นตัวตนเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราควรจะถอยหรือเจอกันตรงไหนให้อยู่กันได้อย่างราบรื่น
               
               และนั่นคือส่วนที่ยากที่สุดในความสัมพันธ์
     
               หลายคนรับไม่ได้กับสิ่งที่ผมเป็น หรือตอนแรกก็พอไหว หลังๆเริ่มจะเกินทน แต่ผมก็เข้าใจนะ การฝืนตัวเองไม่ใช่เรื่องสนุก ในเมื่อคุณยังต้องใช้ชีวิตกับคนๆนั้นไปเรื่อยๆเป็นเวลานาน หรือบางคนอาจจะต้องอยู่ด้วยกันทั้งวัน ทุกวัน ไปหลายๆวัน..
               หากคุณต้องเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองตลอดเวลาเพื่อให้ได้รับความรักใครสักคน นั่นคือการทรมาณตัวเองชัดๆ

     
               แต่กับแจ็คสัน.. มันตรงกันข้าม

               แจ็คสันไม่เคยต้องพยายามเพื่อเข้าหาผม เราไม่เคยต้องพยายามปรับ คำนวณ ถ่วงดุล หรือทำอะไรกับสิ่งที่เราเป็นเพื่อให้อยู่กับอีกฝ่ายได้ อาจจะเป็นเพราะยี่สิบห้าปีที่หล่อหลอมเรามา หรือว่าเพราะลักษณะนิสัยที่ไปกันได้ก็ตาม แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่าต้อง ‘ฝืน’ เมื่อเราต้องอยู่ด้วยกันสองคน
               
               เราจะเป็นคนบ้า เป็นเด็กห้าขวบ เป็นคู่นอน เป็นเพื่อนดื่ม เป็นเพื่อนร่วมงาน.. เป็นอะไรก็ได้
               และผมรู้ว่าแจ็คสันจะรับมันได้เสมอ

               มันคือพื้นที่พิเศษ ที่ใครก็เป็นให้ผมไม่ได้


               พ่อกับแม่อาจจะเข้าใจผมได้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพื่อนที่ทำงานอาจจะรู้เกี่ยวกับนิสัย แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง แฟนของผมอาจจะเข้าใจตัวตน แต่มันไม่ใช่ทุกด้าน
               แต่แจ็คสัน ใช่..


               นั่นคือแจ็คสันหวัง ที่มีเพียงคนเดียวในโลกใบนี้





เมื่อคนเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน เราจะพยายามให้คำนิยามกับมัน
     
ส่วนมากมักจะมาให้รูปแบบของ ‘สถานะความสัมพันธ์’ และที่พบเห็นบ่อยๆคือ ‘แฟน’
     
แต่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะใช้นิยามแจ็คสัน


ไม่จำเป็นที่ต้องขังเขาไว้ในสถานะเล็กๆที่ไม่มั่นคงแบบ ‘แฟน’ เลยสักนิด
     
เพราะเขาเป็นทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเยอะ..
     
เป็นโลกทั้งใบของผมยังได้เลย

     

เพราะผมไม่สามารถเสียเขาไปได้ด้วยประการทั้งปวง






-----------------------------------------------------------------------------------------




#มสเพื่อนร่วมเตียง



LI5HT

Comments