BED FRIEND : 012



012


ตอนเด็กๆ เราชอบเล่นสร้างฐานทัพลับกัน
     
หาซอกเล็กๆที่ไหนก็ได้ในบ้านที่คิดว่าจะไม่มีใครหาเราเจอได้ สร้างพื้นที่ส่วนตัวของเราที่ใครก็เข้ามาไม่ได้ขึ้นมา
     
ขังตัวเองอยู่ข้างในนั้นกันสองคน





               “ร้อนชิบหาย..”
     
               ทันทีที่ตีนเหยียบที่พักได้ คำบ่นแรกก็เริ่มมา จริงๆผมว่ามันมาตั้งแต่ที่ลงจากเครื่องบินแล้วแต่ก็พยายามทำเบลอๆไป เสียงบ่นพึมพำนั่นหายไปแค่แว้บเดียวตอนขึ้นซีเพลนจากตรงสนามบินมาที่เกาะที่จองที่พักไว้ พอถึงหน้าที่พักก็เริ่มใหม่

               
               พนักงานต้อนรับของโรงแรมที่นี่น่ารักมากครับ ทันทีที่เรามาถึงเขาก็แจกเวลคัมดริงค์ให้ เป็นน้ำผลไม้อะไรบางอย่างที่เย็นสดชื่นดี แน่นอนว่าผมต้องรีบส่งให้ไอ้คนที่ยืนหน้าหงิกตั้งแต่เมื่อกี้ไปปิดปาก กันไม่ให้มันบ่นอะไรเพิ่มออกมา
               ก็นะ เอาพนักงานไอทีที่อยู่ในห้องแอร์วันละ 12 ชั่วโมงมาตากแดดกับอากาศอบอ้าวแถวหมู่เกาะแบบนี้ก็น่าสงสารมันอยู่เหมือนกัน ดูซิ ซีดจนจะเรืองแสงได้อยู่แล้วเพื่อนผม

               “รีบเข้าที่พักเหอะ..” มันเดินเข้ามากระซิบเบาๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะกระซิบทำไม พนักงานจะเข้าใจภาษาเกาหลีหรือก็เปล่า แต่ผมก็รับกุญแจห้องมา รอพนักงานเดินนำไปที่ห้องพักที่จองเอาไว้
               
               เราจองกันมาเป็นแพคเกจเลยครับเพราะเวลาน้อยขี้เกียจไปหาทีละอย่าง ซึ่งจะรวมทั้งตั๋วเครื่อง ที่พักแบบติดทะเล..ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกว่าอะไรแต่ช่างเถอะ และอาหารของที่นี่โรงแรมก็จัดการให้ได้อยู่แล้ว กิจกรรมเพิ่มเติมก็จ่ายเพิ่มทีหลังนิดหน่อยเท่านั้นถ้าอยากได้ เรียกได้ว่าสะดวกสบายใช้ได้

               ผมกับมาร์คจองที่พักที่อยู่หลังท้ายสุด จริงๆก็ไม่เชิงท้าย เพราะที่พักมันวนเรียงกันเป็นวงกลม แต่เราก็เลือกอันที่ต้องเดินไกลสุดนั่นแหละครับ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันแต่ผมชอบ น้ำทะเลที่นี่ใสแจ๋ว สวยจนอยากจะโดดลงเล่นเร็วๆ
               เรากล่าวขอบคุณพนักงานก่อนจะเดินเข้าห้องเพื่อเอาของไปเก็บ กว่าจะถึงที่นี่ก็ใกล้ๆเย็นแล้วล่ะครับ คงไม่ได้ทำอะไรนอกจากวางของลงแล้วนอนพัก หรือถ้าคึกผมอาจจะเล่นน้ำตอนกลางคืนก็ได้ แต่ตอนนี้คุณท่านมาร์คนั้นได้ทำการโยนกระเป๋าลงพื้นและทิ้งตัวเองลงเตียงไปเรียบร้อย

               “สบายเชียวนะ”
               ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะเอาข้าวของไปวางเก็บดีๆ ว่าจะไปนอนเหมือนมันบ้างแหละ แต่ดันเห็นว่าบนโต๊ะเล็กๆในห้องมีแก้วเครื่องดื่มสองใบกับจดหมายแผ่นเล็กวางอยู่ด้วยเลยตรงเข้าไปหยิบมาอ่าน ก่อนจะต้องขำพรืดกับข้อความบนนั้น
     
               “มาร์ค ดูนี่ดิ” ผมคว้าแก้วแชมเปญทรงสูงขึ้นมาพลางใช้นิ้วก้อยคีบจดหมายเมื่อครู่ไปส่งให้มาร์คที่นอนแผ่อยู่บนเตียง “มีสเปเชียลเซอร์วิสว่ะ”
               ไอ้คนที่เพิ่งโดนน็อคจากอากาศของแถบทรอปิคอลหรี่ตาขึ้นมามอง ก่อนจะหยิบจดหมายไปอ่าน

               “Special service for guests in Honeymoon trip.. เดี๋ยว.. เขาคิดว่าเรามาฮันนีมูนเหรอวะ?”

               “เออดิ จริงจังขนาดมีแชมเปญด้วยนะ”
     
               ผมยื่นแชมเปญเย็นเฉียบไปให้คนที่ยังไม่ทันได้ยันตัวขึ้นมานั่งดีๆด้วยซ้ำ ยกแก้วของตัวเองขึ้นจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รสละมุนที่เป็นเซอร์วิสพิเศษจากทางโรงแรมทั้งที่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดแต่ก็หาได้มีใครแคร์ไม่ มาร์คมันยังลุกมาหยิบไปดื่มอึกๆหน้าตาเฉย ชนิดที่แบบว่าถ้าเขามาทวงคืนเพราะสถานะเราไม่ถูกเงื่อนไขก็คงเอาอะไรคืนไม่ได้นอกจากแก้วเปล่าแล้ว





               นอนพักแค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี ผมกับมาร์คเดินออกไปที่โซนบุฟเฟ่ต์ที่เขาจัดไว้ในกระโจมไม้เหนือผืนน้ำขนาดใหญ่ตรงกลาง ระหว่างทางที่เราเดินผ่านผมสังเกตว่ามันมีบาร์เล็กๆอยู่ด้วยที่มุมหนึ่งของบรรดาที่พัก มีที่นั่งหันหน้าออกทะเลด้วย ท่าทางวิวจะสวยน่าดู
               ไว้ขากลับค่อยชวนมาร์คมันแวะก็แล้วกัน

               ผมแปลกใจเล็กน้อยเมื่อก้าวขาเข้าไปในกระโจมที่เขาจัดไว้ให้สำหรับกินข้าวแล้วบริกรถามถึงหมายเลขอะไรบางอย่าง ผมเดาเอาว่าเป็นหมายเลขห้องจึงตอบออกไปตามนั้น และหลังจากนั้นพนักงานก็พาเราไปที่โต๊ะอันมีหมายเลขเดียวกันกับเลขห้องของเราวางอยู่บนนั้น
               อ้อ.. คือให้นั่งเป็นห้องว่างั้นเถอะ
     
               คือมันก็ดีหรอกครับ ตรงที่เราจะมีที่นั่งตลอดไม่ต้องไปแย่งกับใคร แต่ความน่าขัดใจมันอยู่ที่ว่า...เราดันเป็นผู้ชายสองคนเพียงโต๊ะเดียวของที่นี่ และยิ่งเขาใช้ระบบในการจัดที่นั่งตามห้องพักแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเท่ากับว่าเป็นการประกาศว่าผมกับมันมาพักด้วยกันแค่สองคนไปใหญ่
               ดูสิ กรุ๊ปครอบครัวข้างๆมองหน้าเราใหญ่เลย

               โชคดีที่เราสองคนไม่ใช่คนหน้าบางเท่าไหร่ การกินข้าวแบบที่มีคนอื่นๆคอยจ้องตลอดเวลาจึงไม่ค่อยเป็นปัญหา… หรืออาจจะมีนั่นแหละ แต่เราก็ยังพอจะทนได้บ้าง มีหน้าที่กินก็กิน ผมลองตักนู่นนี่มาลองหลายอย่าง กินหมดบ้างไม่หมดบ้าง อะไรที่เกินกำลังก็ตักใส่จานมาร์ค ให้มันเอาไปจัดการต่อจนอิ่ม
               




     
               “มาร์ค ไปแวะบาร์มะ?”               
               ผมถามในขณะที่เรากำลังเดินวนกลับไปที่ห้อง คืนนี้ดาวสวยเชียวครับ ถ้าได้นั่งดูดาวข้างนอกก็คงดี “เมื่อกี้เดินผ่านมาเห็นอยู่ฝั่งนู้นอ่ะ อยากลองไปนั่ง”
     
               จริงๆก็ถามเหมือนแค่พอเป็นพิธีนั่นแหละครับ ขนาดจากโซลมามัลดีฟผมยังลากมันมาได้ แค่จากที่พักไปบาร์แค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงนักหรอก มาร์คมันก็เดินตามมาแต่โดยดี ไม่ปริปากบ่นอะไรสักคำ อากาศที่เริ่มจะเย็นลงกว่าตอนแรกๆที่เรามาถึงทำให้เสียงบ่นของมันหายไปกับสายลม


               บาร์ตรงนั้นไม่ได้ตกแต่งอะไรมากไปกว่าไม้กับใบจากที่มุงหลังคาให้ทั้งวิลล่าดูเป็นรูปแบบเดียวกัน มีโต๊ะเล็กๆกับเก้าอี้สองสามตัวที่ฝั่งขอบสะพานกับเก้าอี้สี่ห้าตัวตรงหน้าบาร์แค่นั้น บาร์เทนเดอร์ที่หน้าตาเหมือนไม่ใช่คนท้องถิ่นยิ้มทักทายเราอย่างอัธยาศัยดี
               “เอาเหมือนเดิมป่ะ?” ถ้าเป็นค็อกเทลล่ะก็ มาร์คดื่มไม่กี่อย่างหรอก ผมจำเมนูของมันได้เกือบหมด
               “จะมีรึเปล่าเถอะ” มาร์คหย่อนตัวลงที่บาร์ โชคดีที่บาร์เทนเดอร์ที่นี่ค่อนข้างจะคล่องภาษาอังกฤษ เราจึงไม่มีปัญหาเรื่องของการสื่อสารเท่าที่คิด

               โชคร้าย Sidecar ของมาร์คไม่สามารถเสิร์ฟให้ได้ที่นี่ แต่ก็พอจะเข้าใจได้หรอกครับว่าตัวเหล้าที่ใช้ผสมนั้นค่อนข้างจะเฉพาะ ทุกร้านคงไม่ขยันมีตุนไว้ ในเมนูก็จะมีเพียงค็อกเทลพื้นฐานชื่อดังที่รู้ๆกันอย่างมาร์ตินี่หรือมาการิต้า หรือไม่ก็พวกสายฟรุ้ตตี้หน่อยๆอย่างไหมไทย บลูลากูน อะไรแบบนั้นไปเสียเพื่อให้เข้ากับความเป็นเกาะทรอปิคอล แน่ล่ะว่ามันดูจะเบาไปหน่อยจนต่อมแอลกอฮอล์เราคงไม่สะทกสะท้าน
     
               “B52 เอามั้ย?” มาร์คชี้ ซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถดื่มได้จากลิสต์ค็อกเทลทั้งหมดที่มี “ใครน็อคก่อนจ่ายตังค์ เอาป่ะ”
               ผมหัวเราะกับคำท้านั้น ก่อนจะวางกระเป๋าเงินลงบนบาร์เป็นการเริ่มเดิมพัน





-----------------------------------------------------------------------------------------






               เปลวไฟสีน้ำเงินที่ลุกไหม้อยู่บนขอบแก้วยังอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งนาที แก้วช็อตมาตรฐานนั่นก็ถูกยกขึ้นซดรวดเดียวจนหมดอย่างไม่สะทกสะท้าน ความร้อนเผาวาบตั้งแต่ปาก คอ ลามลงมาถึงกระเพาะราวกับจะบ่งบอกว่ามันไหลไปตรงไหนบ้าง
     
               ผมกระแทกแก้วช็อตเปล่าใบที่ 4 ลงกับบาร์พลางพ่นลมหายใจร้อนเหมือนดีกรีของค็อกเทลชื่อดังแรงๆ ตอนนี้หน้าผมคงแดงไปหมด แต่มาร์คเองก็ไม่ต่างกันนักหรอก สายตาคมๆนั่นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เข้าเลือด มันยิ้มอารมณ์ดี ก่อนจะยกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าขอเพิ่มอีกชุดจากบาร์เทนเดอร์
               

               แขกคนอื่นๆที่แวะเวียนเข้ามาที่บาร์ส่งเสียงเชียร์เราอยู่ข้างหลัง บางคนเพิ่งมา บางคนอยู่ตั้งแต่แก้วแรก ดีแค่ไหนที่ไม่มีใครเอาเราไปพนัน ส่วนบาร์เทนเดอร์อารมณ์ดีก็ยังเร็วเหมือนเคย ผสมค็อกเทลสองแก้วถัดไปพลางวางมันไว้บนบาร์ จุดไฟลงบนแก้วจนแอลกอฮอล์ลุกไหม้เป็นเปลวไฟสีน้ำเงินสวย
     
               การดื่ม B52 ที่ได้อารมณ์ ต้องดื่มให้หมดก่อนไฟดับ..
     
               ผมเข้าใจความจริงนั้นหรอก แต่ด้วยความที่มันเป็นแก้วที่ 5 ของผม ปฏิกิริยาตอบสนองและสติต่างๆของผมเริ่มทำงานช้าลงกว่าปกติ ยอมรับว่าค่อนข้างจะมึนมากกับปริมาณแอลกออล์ที่ได้รับ แต่ก็ยังคว้าแก้วที่ 5 มากระดกพร้อมๆกับคนข้างตัว ท่ามกลางเสียงเป่าปากเชียร์ของแขกคนอื่น แต่พอวางมันลงกลับไม่ได้ยกมือขอชุดถัดไปทันทีอย่างเคย

               ผู้หญิงชาวตะวันตกคนหนึ่งหย่อนตัวลงข้างมาร์ค ชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษที่ผมดันไม่มีสติแปลความในตอนนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะแอลกอฮอล์ปริมาณจัดหนักที่เพิ่งรับเข้ามาและลมทะเลเย็นสบาย สมองผมเริ่มรู้สึกหนักๆเหมือนพร้อมจะฟุบตลอดเวลา
               ...อยากนอน


               ผมลุกขึ้นจากบาร์ ตอนนั้นรู้หรอกนะว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน แต่ร่างกายก็เดินมาแล้ว ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่แต่ผมก็แตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องจนได้หลังจากพยายามหลายครั้งจนเกือบจะยอมแพ้แล้วลงไปนอนหน้าห้องแทน ลากตัวเองขึ้นไปบนเตียงทั้งที่กลิ่นเหล้าหึ่ง ทิ้งตัวลงมองเสาสี่มุมของเตียงที่มีผ้าพาดโยงไปมา ดูคล้ายกระโจม เตนท์ หรืออะไรบางอย่าง
               
               มันทำให้ผมคิดถึงตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราขนเอาผ้าปูเตียงมาทำกระโจมแบบที่เคยเห็นในสารคดีอินเดียนแดงอยู่กลางห้องโดยใช้ที่แขวนหมวกเป็นฐาน ซุกตัวเบียดกันอยู่ข้างใน ไม่ทำอะไร ไม่พูด อย่างกับว่ากำลังซ่อนตัวจากอะไรบางอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำมันไปเพื่ออะไร แต่สนุกสุดๆไปเลย
               
               อีกครั้งคือตอนที่ที่เราแอบขนเตนท์แบบพกพาไปไว้ที่โรงรถ ค่อยๆหอบหิ้วเอาหมอน ผ้าห่ม ไฟฉายและขนมถุงเบ้อเร่อเข้าไปใส่ในนั้นตั้งแต่บ่าย ก่อนจะแอบเข้าไปนอนข้างในนั้นกันสองคนตอนกลางคืน ทำตัวเหมือนว่าเราหนีออกจากบ้าน แต่การหนีออกจากบ้านครั้งนั้นก็มีอายุขัยราวๆ 3 ชั่วโมงได้ เพราะว่าโรงรถตอนกลางคืนนี่หนาวอย่าบอกใคร แม้ว่าจะม้วนตัวกอดกันกลมในผ้าห่มมากแค่ไหนก็ไม่อุ่น สุดท้ายจึงต้องสละฐาน วิ่งกลับขึ้นไปบนห้องที่มีฮีทเตอร์อยู่ดี

     
               ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงการเล่นกันแบบแปลกๆของเรา ไม่รู้ทำไมเราถึงชอบเล่นแบบนี้กันนะ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองตอนเด็กเหมือนกัน รู้แต่ว่าแค่ได้อยู่กันสองคนก็สนุกแล้ว
          
               แต่เมื่อเราโตมา.. อะไรหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป เราไม่สร้างฐานทัพลับกันอีกต่อไป และต่อให้เราจะอยู่คอนโดเดียวกันที่มีกันแค่สองคน แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนตอนเด็กๆเลยสักนิด ทั้งที่ตอนเด็กน่ะคุยกันเสียดิบดีว่าถ้าโตขึ้นจะอยู่ด้วยกัน ทำให้บ้านเป็นฐานลับของเรา ซื้อเกมเยอะๆ ตุนขนมไว้ให้เต็มบ้าน กินข้าวเช้าบนที่นอน แช่บาธบอมบ์ทุกวัน...
     
               ...คุณว่าผมเพ้อมั้ย?
     
               เออ ยอมรับก็ได้ว่าเมาแล้วเพ้อเจ้อ ผมก็ไม่อยากจะเป็นแบบนี้นักหรอก อยากจะหลับไปเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ร่างกายก็ไม่เคยฟังคำสั่งเลย ยังคงนอนลืมตาโพลงอยู่แบบนี้ ไม่รู้นานเท่าไหร่กว่ามาร์คจะกลับ หรืออาจจะไม่กลับ.. ไม่รู้




               ผมได้สติอีกทีตอนที่อะไรเย็นๆแตะเข้าที่แก้ม.. และเมื่อกระพริบตามองดีๆถึงรู้ว่าเป็นมาร์ค ไม่บอกก็รู้ว่ามันก็เมาไม่ต่างจากผมนี่แหละ กลิ่นหึ่งขนาดนั้น ตาปรอยขนาดนี้ เป็นทุกอย่างที่มาร์คต้วนในเวลาปกติไม่มีทางเป็น
               
               “คนนั้นอ่ะ..?” ผมหมายถึงผู้หญิงที่บาร์เมื่อครู่
     
               ปกติไม่ถามหรอกนะคำถามแบบนี้
          

               ทำไมถึงได้พูดออกไปก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มาร์คดูยุ่งกับการถอดเสื้อตัวเองและเสื้อผมออกเกินกว่าจะตอบ ผมจึงเมินมันไป
     
     
               “มาร์ค..” ผมพึมพำเรียก แพขนตาที่เรียงตัวสวยนั่นกระพริบเบาๆ ก่อนที่สัมผัสเย็นๆของปากนุ่มนั่นจะกดแตะลงมาซ้ำที่แก้มอีกข้าง น่ารัก อ่อนหวานที่สุดเท่าที่เคยโดนจูบมา

               ปกติมาร์คไม่ทำหรอกนะจูบแบบนี้..


               
               “...มาร์ค”
     
               “..หืม?” อีกคนรับคำ พลางกดจูบเบาๆไปเรื่อย ตรงนั้นทีตรงนี้ที ทั้งจั้กจี้ทั้งรู้สึกอุ่นๆฟูๆไปหมดทั้งตัว เหมือนตัวเองกลายร่างเป็นสายไหม ไม่ก็มาชเมลโล่ว “มีอะไร?”
     
               “มาร์ค..” ผมหัวเราะคิกคัก เรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำจนมันคงหน่ายจะถาม กระซิบเรียกชื่อผมคืนบ้างอย่างไม่ยอมกัน
               
               “..แจ็คสัน”
     
               ปากที่เคยเย็นชืดเริ่มอุ่นหลังจากจูบตรงนั้นตรงนี้มาเกินสิบที่ มือที่สอดเข้ามาในกางเกงคลึงลงบนจุดที่ทำให้เสียงเรียกชื่อผสมกับเสียงคราง แน่นอน มาร์คทำมันซ้ำอีกครั้ง อีกครั้ง.. และมากกว่านั้น

               “มะ.. อ๊ะ..มาร์ค..! มา..ร์ค!!”
     
               “อืม.. แจ็คสัน… อา.. แจ็ค..”

               ผมไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่เราเรียกชื่อกันและกันทั้งคืน  
               เหมือนจะบอกว่าตอนนี้.. มีแค่เรา


               ปกติเราไม่ทำหรอกนะ… เรียกชื่อกันแบบนี้








ตอนเด็กๆ เราชอบเล่นสร้างฐานทัพลับกัน
     
หาซอกเล็กๆที่ไหนก็ได้ในบ้านที่คิดว่าจะไม่มีใครหาเราเจอได้ สร้างพื้นที่ส่วนตัวของเราที่ใครก็เข้ามาไม่ได้ขึ้นมา
     
ขังตัวเองอยู่ข้างในนั้นกันสองคน


เมื่อเราโตขึ้น เราไม่ได้สร้างฐานทัพลับพวกนั้นอีกต่อไป
     
แต่ผมยังคงคิดนะ ว่าเรายังคงชอบที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวของเรากันอยู่ และขังตัวเองอยู่ข้างในนั้นกันแค่สองคน


ถึงจะต้องใช้ B52 ห้าช็อตในการสร้างขึ้นมาก็เถอะ







-----------------------------------------------------------------------------------------



#มสเพื่อนร่วมเตียง



LI5HT

Comments