BED FRIEND : 011



011



ทุกๆสถานะความสัมพันธ์มีขอบเขตเสมอ
     
ไม่ว่ามันจะถูกระบุโดยใครก็ตามแต่ แต่ว่าทุกอย่างจะมีทั้งสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้อยู่ในนั้น
     
แม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่มีขอบเขตกว้างขวางที่สุดอย่างคำว่า ‘เพื่อน’ ก็ตาม




               “เฮ้ย.. แจบอมมันแต่งงานแล้วว่ะ”
               
               คนที่เลื่อนหน้าฟีดโซเชียลเน็คเวิร์คอยู่เอื่อยๆในขณะยังพ่นควันบุหรี่อ้อยอิ่งอยู่บนดาดฟ้าบริษัทเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ส่วนผมก็แค่เลิกคิ้ว พยายามขุดหารายชื่อคนที่ชื่อแจบอมในชีวิตที่รู้จักขึ้นมาจากสมอง

               “คนไหนล่ะ? อิมหรือปาร์ค?”
               “อิมสิ ไอ้เจบีที่เรียนม.ปลายด้วยกันไง”
     
               อ๋อ คนนั้น..
     
               “แต่งกับใคร? นักเขียนคนนั้นอ่ะนะ?”
               เท่าที่ผมจำได้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยมก็เคยเห็นไอ้เพื่อนคนนั้นมีแฟนอยู่คนเดียวตอนเข้ามหาลัยแล้ว อีกฝ่ายเป็นนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ซึ่งตอนนี้เป็นนักเขียนชื่อดังไปแล้ว ไม่รู้มันยังคบกันอยู่รึเปล่านะวันนี้
     

               “ก็ใช่ไง ดูดิ มันไปฮันนีมูนที่มัลดีฟ” มือถือที่ยื่นมาพร้อมกับรูปกลางทะเลสีฟ้าสดใส
               “อยากไปบ้างว่ะ ยังไม่เคยไปเลย”
     
               “หาแฟนรวยๆดิ” มัลดีฟใช่ถูกๆที่ไหนล่ะครับ นี่แจบอมมันต้องทุ่มทุนสร้างแค่ไหนถึงพาแฟนไปได้วะ? แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ จินยองออกหนังสือทีนึงได้หลายสิบล้าน  “CEO บริษัทเราเป็นไง?”
               “ตลกละมาร์ค” แจ็คสันหัวเราะเบาๆ หันมาพ่นควันใส่หน้าผมจนต้องถดตัวหนี ยกขาขึ้นเตะก้นมันไปเบาๆทีนึง

               “ไปมะ?”

              “ไปไหน?”

               “มัลดีฟไง”

               “ตลกละแจ็คสัน”

               ผมเลิกคิ้ว หันไปสบตากลมโตนั่นอย่างกับจะถามว่ามันพูดจริงหรือพูดเล่น แต่สายตาที่จ้องกลับมานั่นก็ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว ตกใจจนบุหรี่เกือบหลุดออกจากปาก

     
               “เอาจริง..?”





-----------------------------------------------------------------------------------------





               “โบนัสหมดเกลี้ยงเลยเนี่ย..”

               ผมถอนหายใจกับตั๋วเครื่องบินที่อยู่ในมือตัวเอง สุดท้ายก็ซื้อมาจนได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเบื่อเสียงรบเร้าแบบเช้ากลางวันเย็นก่อนนอนของคนแถวนี้ที่กำลังแพ็คกระเป๋าอยู่นี่แหละ
               
               “มาร์ค เอากางเกงยีนส์ไปดีป่ะวะ? แต่ยัดไม่พอละอ่ะ”
               แล้วดูมันสิ สนใจผมที่สุดล่ะ.. ขนาดว่ากระเป๋าใบใหญ่มากแล้วมันยังอุตส่าห์ยัดนู่นยัดนี่ไปจนเต็ม นี่ลาพักร้อนได้ 5 วันมันขนอย่างกับจะไป 3 เดือน อะไรต่อมิอะไรแทบจะล้นออกมาข้างนอกจนผมที่มีแค่เป้กับเคสเล็กๆอีกใบหนึ่งต้องลงไปนั่งช่วยมันจัดการ รื้อเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออก

               “เฮ้ย! อันนั้นจะเอาไป”

               มันโวยวายเมื่อผมดึงเสื้อเชิ้ตแขนยาวของมันออกโยนทิ้งไปข้างๆ ประเทศเกาะแถวนั้นร้อนจะตายห่า ใส่ไปเดี๋ยวก็บ่นว่าเหงื่ออออกเยอะอยู่ดี “นี่ก็ไม่ต้อง เอาออก” ว่าพลางโยนถุงเท้ากับรองเท้าผ้าใบของมันออกไป จะพกไปทำบ้าอะไร ที่นั่นมีแต่น้ำกับทะเล แตะนั่นแหละดีสุดแล้ว

               ผมนั่งเสียเวลาดึงของออกจากกระเป๋ามันอยู่สิบห้านาทีถ้วน ก่อนที่ไอ้กระเป๋าลากที่แทบจะระเบิดหดฟีบลงจนแทบจะกลวง แจ็คสันเห็นแบบนั้นมันเลยประชดด้วยการไปลากกระเป๋าใบเล็กกว่ามาแทน แน่นอน ผมย้ายของใส่ในไอ้ใบเล็กนั่นทันทีแบบไม่ต้องรอให้มันได้ประท้วงงอแงขึ้นมาจนอีกฝ่ายสะบัดตูดหนีไปอีกทาง
     
               ไม่ง้อหรอกนะ.. แค่โบนัส 4 เดือนของผมหมดลงทันทีภายใน 2 วันนี่ก็ถือว่ายอมมามากพอแล้ว อยากงอนนักก็หายเองด้วยก็แล้วกัน

               จริงๆผมก็อยากจะเอาหัวโขกเสาให้กับความงี่เง่าของตัวเองที่ยอมตามใจมันเหมือนกัน แต่ขอชี้แจงก่อนว่าผมได้กระทำการเลี่ยงทุกวิถีทางแล้ว ทั้งยกเหตุผลเรื่องวันลา จำนวนเงิน งาน และอื่นๆ แต่แจ็คสันมันก็ยืนยันว่าวันลาของผมยังไม่เคยได้ใช้เลยแม้แต่วันเดียวตั้งแต่ที่ทำงานมา 3 ปี แถมยังไม่เคยลาพักร้อนยาวสักหน ผนวกกับการที่มันมีคนรู้จักในแผนกการเงินของบริษัททำให้รู้ว่าผมเพิ่งได้โบนัสมาหมาดๆเอาตอนปีใหม่ ยังไงๆผมก็ไปกับมันได้
               
               ...ขนาดว่าไล่ให้ลองไปชวนคนอื่นๆแล้วมันก็ยังยืนยันจะลากผมไปให้ได้ เดินตามมาไซโคถึงห้องทำงานทุกเที่ยง ตอนเย็น ตอนเช้าตื่นมาก็ยังโดน ขนาดตอนที่ทำกันอยู่บนเตียงมันยังจะอุตส่าห์ชวนคุยระหว่างทำ แถมขู่ด้วยว่าถ้ายังไม่ตกลงซะทีมันจะครางเป็นหมายเลขไฟล์ทบินโซล-มัลดีฟให้หมดอารมณ์กันไปข้าง

               จนปัญญาจะขัดใจ ยอมให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปก็ได้วะ

     
               “แล้วเราจะไปทำอะไรที่มัลดีฟ?”
               ผมถามด้วยความงงอย่างจริงใจ ไอ้เรื่องที่มันอยากจะไปมาตั้งนานแต่ไม่มีโอกาสก็พอจะเข้าใจได้ แถมมาเห็นว่าเพื่อนเก่าไปมาแล้วก็คงรู้สึกอยากไปบ้างเป็นของธรรมดา แต่..ทำไมต้องชวนผมวะ?
               “นอนเล่น แช่น้ำ กินอาหารทะเล เดินรอบเกาะ ถ่ายรูป..” ดูกิจกรรมเข้า แปลกใหม่ซะไม่มี “ก็ถือซะว่าไปพักร้อนไง มาร์คไม่ชอบที่คนเยอะนี่ มัลดีฟคนไม่เยอะซะหน่อย”
               นั่นไม่ใช่ประเด็นไหมล่ะแจ็คสันหวัง

     
               “หมายถึง เรา ทำไมต้องไปมัลดีฟด้วยกันด้วย?”

               “ก็..”

               ความเงียบที่อยู่ดีๆก็ชวนให้อึดอัดค่อยๆคืบคลานเข้ามา มันไม่ค่อยมีบรรยากาศแบบนี้ระหว่างเราบ่อยนักหรอกครับ ผมรู้ดีว่าแจ็คสันไม่ชอบ และผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะให้มันเกิด แต่ไอ้ของแบบนี้มันก็ห้ามกันยาก บางทีผมก็หลุดปากออกมาทั้งที่ไม่ทันได้คิดเหมือนกัน..
               ...แล้วก็กู้คืนยากด้วยนะ

               
               ผมลุกขึ้นจากที่นั่งมาขยี้ผมชี้ๆนั่นสองสามทีก่อนจะเดินเข้าครัวไป เป็นการตัดบทเดธแอร์ที่ผมถนัดที่สุดแล้ว ในขณะที่แจ็คสันยังคงนิ่งเงียบ แม้จะยกขาถีบน่องผมกลับมาเหมือนกันก็ตาม





-----------------------------------------------------------------------------------------





               เรานั่งเจ่าจุกกันอยู่ที่สนามบินมาเกินสองชั่วโมง ไฟล์ทบินที่ดีเลย์เพราะอากาศไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ของเกาหลีทำให้เครื่องไม่สามารถลงจอดได้ตามกำหนด ผมนั่งดูดกาแฟแม้ว่ามันจะใกล้ห้าทุ่มครึ่งแล้ว ไม่ห่วงเรื่องจะนอนไม่หลับหรือเปล่าเพราะยังไงก็ต้องไปปรับเวลาใหม่ที่มัลดีฟอยู่ดี ในขณะที่แจ็คสันยังคงวุ่นวายกับการเลือกหมอนรองคอว่ามันจะเอาลายไหน ระหว่างหนูสีเหลืองกับเต่าสีฟ้า
     
               “มาร์ค อันไหนดี?”
               นั่น ยังมีหน้ามาถาม ผมว่าจะอันไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ด้วยความเบื่อเพราะเห็นมันเลือกมานานเกินห้านาทีแล้วเลยชี้ไอ้สีฟ้าๆนั่นไปจะได้จบๆ
               “แต่ปิกาจูมันเป็นตัวเอกของเรื่องนะ” เออนั่น.. มีการระบุชื่อด้วย “แต่ก็ชอบเซนิกาเมะเหมือนกันไง”
     
     
               ผมมองไอ้คนตัวขาวๆที่พยายามบอกผมว่ามัน ‘แมนมาก’ มาตลอดชีวิตนั่งเลือกหมอนลายหงุงหงิงด้วยความรู้สึกปวดกระโหลก เอาจริงๆแจ็คสันมันก็ไม่ได้ดูตุ๊ดแต๋วอะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่าอะไรบางอย่างในตัวมันบางทีก็ดูเหมือนเด็กๆอย่างบอกไม่ถูก ผมชอบเผลอคิดว่าเป็นพี่มันทุกที มองมันเป็นเหมือนเด็กแสบๆคนนึงมากกว่าผู้ชายแมนๆด้วยกันเสียมากกว่า
     
               “งั้นก็เอาอันนั้นไป” ผมว่า พลางดึงหมอนสีเหลืองจากมือมันมาสวมที่คอตัวเอง เหลือแค่ไอ้เต่าสีฟ้าที่หน้าโง่ๆเหมือนมันดีไว้ในมือ “อันนี้ยืมก่อน”
               ปากแดงๆนั่นอ้าค้าง ตั้งท่าจะโวยวายอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ยื่นหลอดที่ปักอยู่บนแก้วเครื่องดื่มของตัวเองไปชิดปากมันเสียก่อนเป็นเชิงดักคอ
               “มาร์คแม่ง..” บ่น แต่สุดท้ายก็กินอยู่ดีไม่ใช่รึไง ถึงไอ้ตากลมๆนั่นยังคงเหล่มองผมแบบคาดโทษก็เถอะ



               เวลาผ่านไปจากสองชั่วโมงเป็นสาม เครื่องบินยังคงไม่มา แจ็คสันท่าทางเหมือนใกล้หลับอยู่รอมร่อจนผมต้องปลุกให้ตื่นทุกสิบห้านาที เขย่าไหล่สองสามทีให้มันงึมงำตอบรับเป็นสัญญาณว่ายังไม่นอน ส่วนผมก็นั่งสไลด์มือถือไปด้วยความเบื่อหน่าย
               แอร์พอร์ตเริ่มร้างคนหลังจากพ้นเที่ยงคืนมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะโซนขาออกระหว่างประเทศที่ดูวังเวงอย่างบอกไม่ถูก บริเวณที่นั่งแถวนี้มีแต่ผมกับแจ็คสันที่ยังคงนั่งรอ ส่วนอื่นๆเริ่มมีคนนอนเหยียดยาวลงกับที่นั่งบ้างแล้ว ไฟบางดวงถูกดับลงเพราะพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีคนใช้งาน

               “มาร์ค..”
               คนที่นั่งนิ่งเงียบไปจนผมนึกว่ามันวูบไปอีกรอบเรียกเบาๆ ก่อนที่น้ำหนักของอะไรบางอย่างที่คงไม่พ้นไหล่กับหัวกลมๆนั่นที่พิงลงมาบนบ่าผม
     
               “ว่า?” ผมถามกลับ ตายังไม่ละจากจอมือถือทั้งที่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก รูปถ่ายของอิมแจบอมยังคงปรากฏบนไทม์ไลน์ แน่นอนว่าเป็นรูปคู่กับแฟนของมันนั่นแหละ
     
               “วันนั้นที่ถามว่าทำไมถึงต้องไปมัลดีฟอ่ะ...”
               “ยังอยากรู้อยู่มะ?”
     
               ผมสูดหายใจลึก มือกดล็อกโทรศัพท์ให้จอดับลง “ไม่..”
               
               “ทำไม?”
               เสียงนั่นฟังดูไม่ค่อยพอใจนักที่ผมตอบปฏิเสธ คาดคั้นเหมือนกับจะให้ผมอยากรู้ให้ได้
               
               “ก็ไม่อยากรู้แล้ว”
               
               “ถ้าบอกว่าอยากรู้ก็จะได้ตอบให้ไง ทำไมล่ะ”
     
               คราวนี้เป็นมือนั้นที่จับท้ายทอยผมให้หันมามองหน้ามันชัดๆ คิ้วขมวด ตาขวาง ท่าทางเอาเรื่องเหมือนว่าจะมาบังคับมากกว่าถามความเห็นกัน
               
               “ก็ไม่ทำไม ก็แค่ไม่อยากจะรู้แล้ว เลิกถามเถอะ”


               ผมปัดมืออีกคนออก แต่ไม่ได้ผล แจ็คสันมีมือสองข้าง และข้างที่สองนั่นก็ยังตามมาคว้าต้นคอผมเอาไว้ บีบแน่นราวกับจะล็อคเอาไว้ไม่ให้หันหลบไปไหนด้วยแรงที่มี
               แต่อีกฝ่ายคงไม่รู้ สิ่งที่จะตรึงผมไว้นิ่งๆได้คือตากลมโตคู่นั้นต่างหาก

     
               “...มาร์ค”

               “หยุด”

               “..ที่ชวนน่ะเพราะว่า…”

               “แจ็คสัน หยุด..”

               “มาร์---”

     
               ผมฉวยเข้าที่ท้ายทอยอีกคนบ้าง ก่อนจะดึงเข้ามาหาตัวเองโดยไม่รอให้อีกคนได้เริ่มประโยค แจ็คสันดิ้นหนีสุดชีวิต แต่แน่ล่ะ แรงเขาสู้ผมไม่ได้หรอก และต่อให้มันทุลักทุเลแค่ไหน ริมฝีปากของเราก็ประกบกันจนได้
               เขี้ยวเล็กๆนั่นกัดผมจนรู้สึกเจ็บแปลบที่ปาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเลิกโถมแรงเข้าใส่จนอาการต่อต้านนั่นอ่อนลงจนเหมือนเป็นการขยับตอบสนองลิ้นผมที่รุกรานเข้าไปในปากเขา ส่งเสียงอึกอักในลำคอเหมือนต้องการสบถอะไรบางอย่าง นิ้วจิกเข้ากับหลังคอผมเหมือนจะบอกให้รู้ว่าไม่ยอมง่ายๆ

               ผมผ่อนจังหวะดูดดึงกลีบปากนุ่มนั้นลง ส่งสายตาวิงวอนขอร้องให้อีกฝ่ายฟังผมบ้างอย่างที่ไม่ค่อยจะได้ทำให้เห็น ก่อนที่ปลายนิ้วนั้นจะค่อยๆผ่อนแรงลง และผมถอยห่างออกมาในที่สุด
               
               “ไม่อยากรู้แล้ว ไม่ต้องตอบ เข้าใจไหม?”
     
               ผมกระซิบชิดปากแดงๆนั่น ตาจ้องนิ่งเพื่อบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าผมพูดและหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้ประชดหรือโกรธอะไรทั้งนั้น

     
               ..ถ้าตอบแล้วเราจะต้องรู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ด้วยกัน สู้ไม่ตอบออกมาเสียดีกว่า
               จะไม่ตอบไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

     
               แจ็คสันสูดหายใจลึกราวกับจะปรับอารมณ์ ก่อนที่จะพยักหน้าลงน้อยๆโดยที่ไม่พูดอะไร
               ผมขยับเข้าจูบเขาซ้ำอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง.. จนกระทั่งเสียงประกาศเรียกไฟล์ทบินของเราดังขึ้น






ทุกๆสถานะความสัมพันธ์มีขอบเขตเสมอ
     
ไม่ว่ามันจะถูกระบุโดยใครก็ตามแต่ แต่ว่าทุกอย่างจะมีทั้งสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้อยู่ในนั้น
     
แม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่มีขอบเขตกว้างขวางที่สุดอย่างคำว่า ‘เพื่อน’ ก็ตาม



สำหรับความสัมพันธ์ของเรา สิ่งที่ทำได้คือ ทุกอย่าง
     
ส่วนสิ่งที่ทำไม่ได้.. คือการหาเหตุผลของ ทุกอย่าง ที่เราทำด้วยกัน
     

เพียงแค่นั้นจริงๆ









-----------------------------------------------------------------------------------------



#มสเพื่อนร่วมเตียง


LI5HT

Comments