BED FRIEND : 008



008

มาร์คแม่งเดาอารมณ์โคตรยาก..
          
อันนี้ใครๆก็พูด แต่ขอย้ำอีกทีว่ามันยากมากจริงๆ แถมยังแปรปรวนยิ่งกว่าผู้หญิงในวันนั้นของเดือน
          
จนบางทีผมก็เหนื่อยที่จะคอยเดา คอยห้ามมันเหมือนกัน




               “ทำไรอ่ะ..?”
     
               ผมยืนพิงขอบประตูห้อง ตายังลืมครึ่งไม่ลืมครึ่ง ไม่ต้องถามนะว่าสภาพตอนนี้เป็นยังไง เรียกได้ว่าถ้าใครมาเห็นเข้านี่คงโดนถ่ายรูปแบล็คเมล์ยาวไปอีกสักสี่ห้าชาติ
               
               พอกลับมาจากงานเลี้ยงสิ้นปีของบริษัทได้เมื่อวาน ผมกับมาร์คก็ฟัดกันตั้งแต่หน้าห้อง ยกแรกจบในห้องน้ำ ยกสองตรงโซฟา สามที่แถวๆกำแพงฝั่งใดฝั่งหนึ่งนี่แหละ ส่วนยกสุดท้ายนี่เริ่มจะเบลอๆ จำไม่ค่อยได้แล้ว พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนที่นอนเฉยเลย

               ไอ้คนที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟฟ้าในครัวหันมามองผมแค่แว้บเดียว ก่อนจะสะบัดมือไล่ผมเหมือนให้ไปล้างหน้าล้างตาซะ แต่ผมอยากรู้นี่ว่ามันทำอะไร เลยอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าดูหน่อย               
               วันนี้คริสมาสต์ครับ บริษัทผมเริ่มหยุดตั้งแต่วันนี้ยาวไปจนปีใหม่ ทั้งผมทั้งมาร์คจึงได้โอกาสพักอยู่บ้านบ้าง และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เราตะบี้ตะบันทำกันยันฟ้าสางเมื่อคืน แข้งขายังรู้สึกขัดๆอยู่เลยเหอะ และนั่นก็คงเป็นอีกเหตุผลที่มาร์คมันเลือกที่จะทำกับข้าวกินเองในห้องมากกว่าออกไปสู้รบปรบมือกับคนจำนวนมากในช่วงเทศกาล

               “พาสต้าเหรอ?” ผมมองกองเส้นสีเหลืองในชามใบใหญ่ข้างๆ กับซอสครีมที่มาร์คมันเคี่ยวอยู่บนเตา จริงๆมาร์คมันพอจะทำอาหารได้บ้างหรอกครับ แต่เพราะเวลาว่างที่ไม่ค่อยจะมีทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าครัวนัก ไหนจะเก็บล้างเตรียมของอีก ส่วนมากเราถึงได้พึ่งพาร้านเอาเสียมากกว่า
     
               วันไหนที่ได้กินข้าวฝีมือมาร์คนี่ถือว่าเป็นบุญ
     

               “ไปล้างหน้าไป ออกมาแล้วชงกาแฟให้ด้วย”
               
               “คร้าบบบ ครับแม่ ไปแล้วครับ”
               ผมหัวเราะคิกคักพลางถอยหลบสันมือที่กำลังจะฟาดลงมาใส่หัวตัวเองอย่างว่องไว กำลังจะไปห้องน้ำอยู่แล้ว แต่ดันคิดอะไรขึ้นมาได้เสียก่อนเลยต้องชะงักขาหันกลับมาถาม


               “เออมาร์ค ปีนี้กลับบ้านป่ะ?”    
  
             บ้านผมกับบ้านมันรั้วห่างกันครึ่งเมตร.. เท่ากับว่าถ้าคนใดคนหนึ่งกลับ อีกคนก็กลับด้วย ไม่งั้นต้องได้อธิบายกันอีกยาวว่าทำไมมาคนเดียว อีกคนไปไหน คือเคยลองแล้วแหละครับ ผลคือโดนแม่ของเราทั้งคู่ซักไซ้จนเข็ดไปอีกนาน และหลังจากนั้นก็ต้องถามกันก่อนว่าจะกลับไม่กลับ ถ้ากลับก็กลับคู่ ถ้าไม่ก็ไม่ไปเลย

               “กลับมั้ง ไม่มีแพลนไปไหน” อีกฝ่ายตอบพลางเทเส้นทั้งชามใส่ในกระทะ คนพลิกไปมา “จะกลับไหมล่ะ?”

               “ดูก่อน..”




               ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ ชงกาแฟให้ทั้งมาร์คและตัวเอง หยิบแก้วสีฟ้าของตัวเองกับแก้วสีแดงใบใหม่ของอีกฝ่ายลงมาจากชั้น
               
               ใช่ครับ มาร์คได้แก้วใหม่แล้ว มันไปซื้อมาจากสตาร์บัคส์เหมือนเคย ไม่รู้ว่าเลือกจากอะไรแต่ว่าผมก็คิดว่ามันสวยดีนะ แก้วมัคทรงสูงสีแดงกับหูจับสีขาวรับเทศกาลคริสมาสต์พร้อมลายสกรีนประจำของร้าน ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าไอ้ใบนี้จะมีชีวิตไปนานอีกกี่สิบปี
               พอพูดถึงแก้ว.. น้องแบมแบมเองก็เหมือนจะหายไปจากชีวิตมาร์คพร้อมกับไอ้แก้วสีเขียวใบเก่า ผมไม่ได้ยินมันพูดถึงหรือชวนน้องเขามาที่ห้องอีกเลยตั้งแต่วันนั้น แถมสิ้นปีนี้ยังบอกว่าไม่มีแพลน แสดงว่าอีกคนตอนนี้คงไม่ได้สานต่อหรือเริ่มอะไรใหม่กับใครแล้ว

               “เอ้า”
               ผมวางแก้วสีแดงนั่นลงข้างๆอีกคน พาสต้าเหมือนจะเสร็จแล้ว และกลิ่นของครีมซอสนั่นก็ยั่วยวนจมูกคนที่โดนใช้แรงงานหนักมาทั้งคืนแบบผมเหลือเกิน “ขูดชีสท็อปเพิ่มได้มั้ยอ่ะ?”
               ตาคมๆนั่นหันมามองผมนิ่งๆ ขยับปากด่าด้วยหน้าที่ยังไม่เปลี่ยนสี
     
               “อ้วน..”
               
               “เออน่า สิ้นปีทั้งที คนเราต้องกินดีๆ”

               ไม่ทำให้ใช่มั้ย ได้ ผมวางแก้วลงแล้วหันไปหยิบชีสถุงแบบขูดเรียบร้อยแล้วจากซุปเปอร์มาโรยลงไปในจานแบบไม่เกรงอกเกรงใจ ในขณะที่มาร์คยกจานของตัวเองหนี เอาไปตั้งวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟานู่น ปล่อยให้ผมเพิ่มความอ้วนให้ตัวเองจนพอใจแล้วหยิบช้อนส้อมตามมันไปบ้าง


               เราใช้ชีวิตวันหยุดกันง่ายๆแบบนี้แหละครับ มาร์คมันก็นั่งขัดสมาธิ หยิบจานพาสต้ามาวางไว้บนตักพลางใช้ส้อมหมุนตักมันขึ้นมาใส่ปากชิลๆ อีกมือหยิบรีโมทมากดเลือกช่องที่อยากดูไปเรื่อย ส่วนผมก็ทิ้งตัวลงอีกฝั่งของโซฟา คนชีสที่ละลายจนเยิ้มยืดเข้าปากอย่างมีความสุข
               ช่วงเทศกาลแบบนี้ ผมอดนึกถึงตอนที่เราเป็นเด็กกันไม่ได้ ช่วงนั้นมันจะมีหนังดังเรื่องหนึ่งที่มักจะทำเซตติ้งเป็นเทศกาลคริสมาสต์แบบนี้แหละ ถ้าคุณเกิดทันนะ มันชื่อเรื่อง Home Alone ว่าด้วยเรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่บ้านคนเดียวในช่วงคริสมาสต์ และต้องรับมือกับโจรผู้ใหญ่สองคน มันเป็นหนังแฟมิลี่พล็อตง่ายๆเลย แต่ผมยังจำทุกฉากติดตาจนถึงวันนี้
               จำได้ว่าหลังจากที่ดูหนังเรื่องนั้นจบ ทั้งผมทั้งมาร์คก็วางแผนประกอบฐานลับกันอย่างจริงจังทันที มุดอยู่ในนั้นทั้งวันจนแม่ด่า หลังจากนั้นถึงได้เพลาๆลงมาบ้าง

               “มาร์ค อยากดู Home Alone ว่ะ” ผมพูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัว ในขณะที่คนที่กำลังเปิดหนังแอคชั่นไซไฟยากๆแถวนี้หันมาเลิกคิ้วมอง “คิดถึงไอ้เด็กนั่นอ่ะ พระเอกอ่ะ ชื่ออะไรนะ..”
               “..Kevin”
               “อ่า ใช่ๆ นั่นแหละๆ” ผมยิ้ม “มีแผ่นอยู่มะ? อยากดู”

               จริงๆหนังมันอยู่ในช่วงที่โลกใบนี้ยังไม่มีซีดีใช้เลยมั้ง แต่ด้วยนวัตกรรม ผมก็คาดหวังว่าเขาจะผลิตเวอร์ชั่นดีวีดีหรือซีดีออกมาบ้าง แต่ก็นั่นแหละ มาร์คไม่ได้หาซื้อเอาไว้ แต่มันก็สัญญาว่าจะเปิดหาจากเน็ตฟลิกซ์หรืออะไรซักอย่างให้ถ้ากินเสร็จ เพราะตอนนี้มือที่กินข้างนึง จิบกาแฟข้างนึงของมันไม่ว่าง ผมเลยแย่งคอมมันมา เปิดหาดูเองเสียเลย
               “เด็กว่ะ” มาร์คบ่น พลางสะกิดขาผมด้วยขาที่เหมือนตะเกียบของมัน ซึ่งผมเองก็หาได้แคร์ไม่ พาดขาทับขามันเอาไว้อีกทีก่อนจะกดเปิดหนังเด็กที่ว่าของมันบนจอทีวีด้วยระบบไวร์เลสทันที




------------------------------------------------------------------------------------------





               ผมนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับมุกเดิมๆฉากเดิมๆที่ผมเคยดูมาหลายครั้ง นี่ผมกับมาร์คตอนเด็กชัดๆ พ่อแม่ไม่อยู่บ้านเมื่อไหร่ล่ะก็ได้บ้านเละ เล่นกันทุกที่ตั้งแต่ห้องนอนยันห้องเก็บของ และแน่นอนว่าถ้าแม่กลับมาเราก็โดนสวดทันทีทุกครั้ง แต่เราก็ไม่เคยเข็ดสักที
     
               “เนี่ย โคตรแจ็คสัน” มาร์คชี้ไปที่ฉากที่เควิน เด็กตัวเอกของเรื่องที่กำลังแอบหยิบเจลแต่งผมของพ่อมาใช้ ปาดเจลจนเรียบแปล้ ซึ่งผมไม่เถียงครับ ตอนเด็กชอบเล่นแบบนั้นจริงๆ ก็มันสนุกอ่ะ
     
               “อันนี้ก็โคตรมาร์ค” ผมเอาคืนบ้าง สะกิดให้มันดูตอนที่เด็กคนนั้นกำลังยียวนตอบคำถามของพนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ต มาร์คเป็นแบบนั้นเลย พูดตรงๆ แต่กวนโอ๊ยเป็นบ้า และไม่ได้เป็นแบบนั้นแค่ตอนเด็กๆด้วย โตมาก็ยังตรงเป็นขวานผ่าซากเหมือนเคย แต่ไม่ค่อยจะกวนกันเท่าไหร่แล้ว

               เราผลัดกันชี้ใส่ร้ายอีกคนไปมาอย่างไม่มีใครยอมใครเหมือนตอนที่เราเป็นเด็ก หัวเราะก๊ากใส่กันเป็นบ้าเป็นหลัง พาสต้าหมดไปนานแล้ว และมาร์คก็เลิกสะกิดผมด้วย แต่เราก็ยังคงนั่งเอาขาพาดกันบนโซฟาเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าจากมือถือของตัวเองดังขึ้นขัด
               อีกคนกดพอสโดยไม่ต้องบอก ส่วนผมก็เหลือบตาลงมองหน้าจอของตัวเอง ชื่อของพี่ยองแจเด่นหราอยู่บนนั้น
     
               วันนี้คริสมาสต์นี่หว่า…
          
               โดยไม่ต้องเดาให้ยาก การที่อีกฝ่ายโทรมาคงไม่มีอะไรนอกจากชวนออกไปเที่ยว นี่เป็นคริสมาสต์แรกของผมกับพี่ยองแจ คิดว่าอีกฝ่ายคงอยากจะใช้เวลากับผมในวันสำคัญนี้
     
               ผมเห็นมาร์คเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะไม่รับรึไง ผมจึงค่อยๆเลื่อนมือไปที่ปุ่มสีเขียว ใช่ ผมไม่เคยกดปฏิเสธสายอีกฝ่าย นั่นเป็นนิสัยเสียแล้วที่ผมจะรับทุกสายของแฟนตัวเองถ้าไม่ได้กำลังยุ่งอยู่ ต่อให้จะไม่ค่อยอยากรับมันเท่าไหร่ก็ตาม

               “สวัสดีครับพี่ยองแจ...”
               มาร์คลุกขึ้นเก็บจานชามและแก้วกาแฟของผมไปที่ซิงค์ มันไม่ล้างหรอก ผมรู้ มาร์คไม่ชอบล้างจาน แต่ก็ยังถือว่าโอเคเพราะวันนี้มันอุตส่าห์ทำให้กินแล้ว ผมจะล้างให้เองก็ได้ แต่คงต้องหลังจากนี้น่ะนะ
     
               “อืม ผมเพิ่งกินเมื่อกี้เลยครับ พี่ล่ะ?” ผมยิ้มนิดๆให้กับสายตรงหน้า “กินข้าวตรงเวลานะครับ ไม่งั้นจะป่วยนะ”
     
               นี่ก็..นิสัยเหมือนกัน ไม่รู้สิ มาร์คชอบเบ้ปากใส่ผมเวลาที่ผมแสดงถึงความเป็นห่วงให้ทุกคน คือมันรู้แหละครับว่าผมไม่ได้เป็นห่วงขนาดนั้น แต่มันเป็นคำพูดที่ติดปากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และนั่นก็ทำให้เกิดปัญหามาหลายรอบแล้ว ผมเองก็เลิกนิสัยนี้ไม่ได้เสียด้วยสิ
               
               “หืม? งั้นเหรอ? จริงดิ?” ผมพลิกตัวลงนอนคว่ำเหยียดยาวบนโซฟาเพราะมาร์คไม่ได้นั่งแล้ว หูยังคงแนบกับโทรศัพท์ ตอบรับประโยคจากอีกคนอย่างร่าเริง...ทั้งที่มันก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นหรอก แต่ผมรู้ว่าทุกคนจะชอบ “โห.. สุดยอดเลย พี่ยองแจเก่งจัง”



               ผมถือสายคุยกับพี่ยองแจต่อในขณะที่มาร์คเดินกลับมาจากในครัว ผมสังเกตอีกฝ่ายแค่ตอนที่เดินผ่านหน้าไป แต่ไม่ทันรู้ตัวตอนที่อยู่ๆก็รู้สึกว่าโดนแตะจูบเบาๆที่หลังกกหู ข้างโทรศัพท์ที่ผมกำลังคุยอยู่จนสะดุ้งนิดๆ เสียงหัวเราะแผ่วต่ำในลำคออีกฝ่ายทำให้ผมหันไปมองพลางเลิกคิ้วเป็นคำถามว่ามันต้องการอะไร
               ปกติมาร์คไม่ค่อยรุ่มร่ามเวลาผมอยู่ในสายเท่าไหร่ วันนี้มันมาแปลกแฮะ..
     
               มาร์คไม่ตอบ มือบิดคางผมให้กลับไปมองทางเดิมพลางจูบเบาๆที่ท้ายทอยผมต่อ ยียวนน่าถีบเป็นบ้า แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธจริงๆว่าสัมผัสแผ่วๆกับมือที่คลึงหนักๆอยู่ตรงเอวนั่นชวนเคลิ้มสุดๆ อีกฝ่ายขยับเข้ามาซ้อนอยู่ที่หลังผม รูดเอากางเกงใส่นอนลงจากขา ก่อนจะคร่อมร่างตัวเองลงมาช้าๆ

               “อา.. ใช่ครับ..” ผมพยายามสูดหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ เมื่อเสื้อกล้ามย้วยๆของอีกคนที่ผมใส่อยู่ถูกรูดขึ้นด้วยฟันคมๆที่ลากไล่มาตามแผ่นหลัง “หืมม.. วันนี้เหรอ?”
     
               ผมหันไปมองคนที่กดจูบอยู่กับหัวไหล่ของตัวเองอีกครั้ง ตาคู่สวยนั่นไม่ได้สนใจในการกระทำของผมแม้แต่น้อย ทำหน้าที่ของมันต่อด้วยการขบเบาๆไปตามต้นคอ เพิ่มรอยจูบที่จากเดิมก็มีเยอะอยู่แล้วให้มันมากขึ้นไปอีก มือกดขยำแรงๆแต่แช่มช้าอยู่ที่สะโพก
               เมื่อคืนก็ทำไปขนาดนั้นแล้ว.. เช้ามายังต่อได้อีก ผมล่ะเชื่อมันเลย

               ผมถอนหายใจด้วยอารมณ์อัดอั้น พ่นลมร้อนออกทางจมูกเมื่อสะโพกของตัวเองโดนกดลงจนจมโซฟาด้วยอวัยวะเดียวกันของอีกฝ่าย มาร์คไม่แม้แต่จะถอดกางเกงออกด้วยซ้ำ แต่ความร้อนที่เบียดดันกางเกงผ้านิ่มที่มันชอบสวมเวลาอยู่บ้านนั่นก็ยังส่งผ่านมาที่ผิวเปล่าของผมอยู่ดี ยิ่งมันเบียดเข้ามาจนชิดขนาดนี้ มีหรือผมจะไม่สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิชวนละลายของอีกฝ่าย
     

               “คืนนี้..เหรอครับ?”

               ผมเกือบเผลอครางใส่โทรศัพท์ ให้ตายเถอะ มาร์คมันจะกวนผมไปถึงไหนวะ ไม่รู้มันคิดอะไรอยู่ถึงได้ขยับเอวกระแทกเบียดเข้ามาแบบนั้นทั้งที่ยังไม่ถอดกางเกงออก เนื้อผ้านิ่มลื่นแต่ก็ยังหยาบเกินไปอยู่ดีเมื่อสัมผัสเสียดสีกับผิวอ่อนบริเวณนั้นที่..ก็โดนกระแทกยันเช้ามาเมื่อวาน ไม่ต้องเดาผมก็ว่ามันคงแดงเป็นปื้น น่าจะใกล้ช้ำเต็มที
     
               “อะ… ที่ไหนนะครับ?”
     
               สติที่ที่ใช้คุยกับปลายสายของผมเริ่มจะถูกแทนที่ด้วยความร้อนจากข้างหลัง มันก็แค่ผ้าที่หนาไม่ถึงห้ามิลลิเมตร แถมยังไม่ซับน้ำ ทำให้ของเหลวที่ไหลซึมออกมาจากข้างในเปียกลื่นไปหมดจนการขยับเคลื่อนเริ่มจะมีเสียง และเมื่อมันบดเข้ามาเสียตรงจุด บางครั้งผมก็เกือบจะหลุดสบถเพราะมันไถลลื่นเข้าไป

               พี่ยองแจนัดผมกินข้าวคืนนี้.. ผมจับความได้แค่นี้ เพราะหูผมมันดันไปจดจ่อกับเสียงเสียดสีเบาๆของกางเกงผ้าที่ไถลรูดออกจากบั้นเอวของคนที่ซ้อนหลังอยู่ ผมหลับตา ใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลอง สารภาพว่ารอให้มาร์ครีบๆใส่เข้ามาเสียที นับวินาทีในใจอย่างร้อนรน
     
               ห้าวินาที..
               สิบวินาที..

               แต่เปล่า.. ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

               ทั้งที่เสียงจากมือถือก็ดังชิดหูแต่ผมฟังที่พี่ยองแจพูดไม่รู้เรื่องอีกต่อไป สมองผมมัวแต่โฟกัสกับอย่างอื่น ตวัดตาหันขวับไปทางคนที่คิดจะแกล้งกันอีกแล้วข้างหลังแต่ก็เห็นเพียงใบหน้าหล่อจัดที่ส่งยิ้มมุมปากกลับมาให้ พร้อมกับยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์ที่บริเวณหูเหมือนจะบอกให้ผมคุยธุระให้จบก่อนอีก

               ไอ้…

               ผมกัดฟันกรอด จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรใส่โทรศัพท์ แต่หลังจากที่ได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสายผมก็กดตัดสายทันที


               “มาร์ค..!!”
     
               “ว่า..?”

               ต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องตัดสายแฟนทิ้งกลางคันยังคงยิ้มเผล่ คร่อมตัวเหนือร่างผมอย่างเชื่องช้า ก่อนจะบดตัวเองลงมาเบาๆอย่างหยอกล้อ แต่ก็ทำให้ผมครางครวญด้วยความเสียวซ่านที่ยากจะบรรยายและหงุดหงิดในความเล่นตัวของมันจนโยนมือถือทิ้งไปบนพรมข้างล่าง
     
               พี่ยองแจจะนัดกี่โมง ที่ไหน กินอะไรก็ช่าง ผมโทรไปถามเอาทีหลังได้


               แต่ มาร์ค ต้อง ใส่ เข้า มา ตอน นี้ !








มาร์คแม่งเดาอารมณ์โคตรยาก..
     
อันนี้ใครๆก็พูด แต่ขอย้ำอีกทีว่ามันยากมากจริงๆ แถมยังแปรปรวนยิ่งกว่าผู้หญิงในวันนั้นของเดือน
     
จนบางทีผมก็เหนื่อยที่จะคอยเดา คอยห้ามมันเหมือนกัน


แต่ถ้าเป็นวันนี้ ผมจะไม่เดา ไม่ห้าม ไม่อะไรทั้งนั้น
     

และถ้ามันจะช่วยรีบทำ เร็วๆ และแรงๆด้วย จะเป็นพระคุณมาก!





------------------------------------------------------------------------------------------





#มสเพื่อนร่วมเตียง

LI5HT

Comments