BED FRIEND : 007



007



แจ็คสันเป็นคนเข้ากับคนง่าย
          
ถึงจะเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่มันก็สามารถเข้าไปทักทายเหมือนกับว่าสนิทกันมาเป็นสิบๆปี
          
บางทีมันนั่งจ้อกับเขามาเป็นชั่วโมง แต่สุดท้ายแล้วดันไม่รู้จักชื่อกันก็มี





               สิ่งน่าเบื่อของช่วงเวลาใกล้สิ้นปีคือ.. งานเลี้ยงบริษัท
     

               ปกติผมไม่ชอบอยู่ในที่ๆคนเยอะๆเท่าไหร่ ขนาดแผนกไอทีของตัวเองผมยังไม่ค่อยจะโอเค บ่นแล้วบ่นอีกจนหัวหน้าแผนกลงทุนสั่งพาร์ทีชั่นมาจัดโซนแยกทีมพัฒนาฯออกจากห้องไอทีใหญ่ให้โดยเฉพาะ ดังนั้นแล้ว การที่ผมต้องเอาตัวเองมานั่งอยู่ท่ามกลางคนในบริษัทจำนวนเกือบสองร้อยชีวิตนี่เป็นนรกบนดินเห็นๆ
     
               ไหนจะไอ้สูทที่แจ็คสันมันบังคับผมไปซื้อมาใหม่กับมันเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมไม่เห็นเข้าใจว่าทำไมถึงใส่ตัวเดิมไม่ได้ ในเมื่อผมก็ใส่มันมาตั้งแต่เมื่อปีที่เริ่มเข้าทำงานและมันยังไม่ผุ แต่เมื่อเห็นไอ้รูมเมทมันกราบกรานอ้อนวอนทั้งเช้าทั้งเย็นเสียขนาดนั้นก็รำคาญจะเถียง เสียเงินกับสูทตัวใหม่ไปจนได้
               ผมไม่ชอบใส่สูท ใส่แล้วขยับตัวยากจะตาย ดูแลรักษาก็ยาก แถมไม่ค่อยจะมีไซส์พอดีตัว คือไหล่ผมมันกว้างแต่เอวมันดันเล็ก.. ไม่บาลานซ์กันสักอย่างจนบางทีสวมแบบตัดสำเร็จออกมาแล้วเหมือนเอาเสื้อพ่อมาใส่ โชคดีหน่อยที่ร้านที่แจ็คสันพาไปเสียเงินนั่นมันยังพอเข้ากับผมได้บ้าง
     
               ..ทั้งหมดก็เพราะงานเลี้ยงบ้าบอนี่ดันจัดในโรงแรมนี่แหละ



               ผมนั่งจิบไวน์บนโต๊ะที่มีแต่ใครก็ไม่รู้ แต่แจ็คสันมันดูรู้จักไปเสียทุกคน และทุกคนก็รู้จักมัน ในขณะที่ผมภาวนาให้งานรีบๆเริ่มเสียที จะได้รีบๆหาโอกาสชิ่งกลับบ้าน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายนัก ในเมื่อโต๊ะของเราดันมาอยู่เอาซะใกล้เวทีแบบนี้ คนนั้นคนนี้เดินมาแวะเวียนชนแก้วทักทายทั้งที่ผมไม่แม้จะรู้จักด้วยซ้ำ
  
             
               “อย่าทำหน้างั้นดิ วันนี้อุตส่าห์หล่อนะเว้ย”

               คนที่นั่งเก้าอี้ตัวถัดกันโน้มหน้ามากระซิบ เสียงดนตรีคลอในงานไม่ได้ดังมาก แต่ผมก็ไม่รู้ทำไมมันต้องยื่นหน้ามาชิดจนจมูกจะทิ่มคอผมด้วย
               แต่ก็นั่นแหละ ผมเองก็ไม่ค่อยต่างกัน หันหน้ากลับไปจนปลายจมูกถัดกันไปไม่กี่มิลลิเมตร พึมพำกลับเบาๆแบบว่ากลัวโต๊ะข้างๆได้ยิน
     
               “รู้ด้วยเหรอว่าหล่อ?”
               “ก็พอรู้อยู่” อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมกับแววตาซุกซนวิบวับ “หล่อจนอยากได้กลับบ้านเลยอ่ะ ทำไงดี”

               
               ผมขำพรืดกับคำตอบยียวนนั่นก่อนจะง้างนิ้วดีดหน้าผากมันออกไปจากตำแหน่งที่เคยวางอยู่อย่างหมั่นไส้ ปล่อยให้หัวหน้าฝ่ายโฆษณากุมหน้าผากร้องงอแงโอดโอยไปฟ้องพี่ผู้หญิงอีกคนที่นั่งถัดไปจากมันแทน

               ผมเชื่อว่าสองคนนั้นไม่รู้จักกันหรอก แต่ว่าถ้าคู่สนทนาคือแจ็คสันแล้วล่ะก็ อีกห้านาทีนี่พนันได้เลยว่าคุณจะรู้สึกเหมือนรู้จักมันมาแล้วเป็นสิบปี กล้าพูดคุยเล่นหัวเหมือนกับว่าเรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยมัธยมเลยทีเดียว




               ในที่สุดประธานบริษัทมาเปิดงานจนได้ และแน่นอนว่าหลังจากที่หมดช่วงนั้นไปก็จะเป็นเวลาของปาร์ตี้สังสรรค์ พนักงานทั้งหลายก็เริ่มดื่มกินกันเต็มที่ ใครที่จะหนีกลับก็ต้องหนีเอาตอนนี้ ก่อนที่จะต้องมีประสบการณ์ประสบพบเจอสภาพของเพื่อนร่วมงานที่แทบจะดูไม่ได้หลังจากนี้
               ผมเดินออกมาสูบบุหรี่ที่ระเบียงข้างนอก รับลมเย็นของช่วงสิ้นปีที่พัดเข้ามาหา กะว่าถ้าหมดมวนนี้เมื่อไหร่ก็จะกลับ แต่ทันทีที่ยกไลท์เตอร์ขึ้นมาจะจุด เสียงทักจากด้านหลังก็เรียกให้การกระทำหยุดชะงัก
     
               “พี่มาร์คคะ..”
     
               ผมหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ผู้หญิงคนหนึ่ง..ซึ่งผมเดาว่าน่าจะมาจากแผนกไหนก็ได้ที่ไม่ใช่แผนกผม (เพราะที่นั่นมันชายล้วน หรือถ้ามีผู้หญิงสักคนหนึ่งก็มีแต่พี่แอมเบอร์แผนกซ่อมบำรุงที่หน้าตาไม่ควรนับว่าเป็นหญิงเท่าไหร่) เธอสวมมินิเดรสสีขาวฟูๆ ผนวกกับหน้าตาแล้ว..ก็ดูน่ารักใช้ได้เลย
     
               “ครับ?” ผมตอบกลับตามมารยาท เลิกคิ้วน้อยๆเพื่อให้เธอรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่ “มีอะไรรึเปล่า?”
               เธอรีบส่ายหน้าทันทีจนผมลอนสองข้างนั่นปลิวไสว “หนู..แค่อยากมาทักทายน่ะค่ะ”
               “อ๋อ..”
               ผมตอบได้แค่นั้นแล้วก็นิ่งไป ไม่รู้จะต้องต่อบทสนทนาอย่างไรเลยควักไฟแช็คขึ้นมาจุดบุหรี่สูบต่อมันเลยดื้อๆ ในขณะที่น้องคนนั้นยังคงยืนทำท่าเหมือนอยากจะคุย
     

               “พี่มาร์คไม่ค่อยพูดเนาะ” นั่นเป็นการชวนคุยที่แย่ คนที่ไหนเขาแสดงความเห็นเรื่องนิสัยตัวเองกัน? ข้าม

               “เหมือนอย่างที่พี่แจ็คสันบอกเลย” และนั่นก็เป็นเรื่องของแจ็คสันมัน.. ข้าม

               “แต่หนูว่าพี่เท่มากเลยนะคะ” และนี่ก็เป็นเรื่องของเธอ.. ข้าม

          
               “พะ..พี่ตอบหนูบ้างก็ได้นะ..”

     
               ผมไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ ก็ได้แต่พยักหน้ากลับไปนิ่งๆ แต่พอมองอีกฝ่ายจ้องผมแบบกล้าๆกลัวจนน่าเห็นใจแล้วก็.. รู้สึกว่าควรจะพูดอะไรสักอย่าง
               แต่อะไรดีล่ะ..
          

               “พี่..”





------------------------------------------------------------------------------------------






               “มาร์ค.. นายทำน้องจีซูร้องไห้..”
     
               ผมเลิกคิ้วน้อยๆ บุหรี่ยังคาปาก ก่อนจะยักไหล่เป็นทำนองว่าช่วยไม่ได้กลับไปให้คนที่ทำหน้ายุ่งอยู่ตรงนั้น
           

               “ไปพูดอะไรไว้อีกล่ะ?”

               ผมคีบบุหรี่ออกแล้วพ่นควันยาวๆออกจากปาก สรุปว่าน้องคนเมื่อกี้ชื่อจีซูว่างั้น? แล้วผมพูดอะไรแปลกๆรึไง ไม่นี่? ก็ปกติดี ประโยคทั่วไป
               “ก็บอกว่า ‘พี่จะสูบบุหรี่ครับ’ แค่นั้นเอง”
     
               มันฟังดูร้ายแรงยังไงเหรอครับ ใครก็ได้บอกที ผมว่ามันออกจะเป็นประโยคบอกเล่าปกติทั่วๆไปจะตาย ไม่มีคำหยาบ คำด่า หรืออะไรทั้งนั้น มันมีอะไรให้ร้องไห้รึไง?



               แจ็คสันยกมือขึ้นตบหน้าผากดังแปะ ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนดูโอเวอร์ ก่อนจะขยับมายืนข้างๆ ยกแก้วค็อกเทลที่เริ่มเสิร์ฟกันแล้วในช่วงเวลาปาร์ตี้แบบนี้ขึ้นดื่ม “ก็แบบนั้นแหละ เขาเลยร้องไห้ออกไปฟ้องใหญ่เลยว่านายไล่เขา”
               ผมเปล่าไล่ซะหน่อย..
               ว่าแต่ออกไปฟ้อง?
               
               “เป็นเด็กในแผนก?”
               “หึ๊” แจ็คสันส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไว “แผนกประชาสัมพันธ์ เพิ่งทำงานได้สี่เดือน อายุยี่สิบสาม” ผมได้ยินแล้วก็อดขำไม่ได้ นี่ขนาดไม่ใช่แผนกมันยังรู้ลึกขนาดนี้เลยนะเนี่ย ถ้าแผนกเดียวกันจะขนาดไหน?     
               “เนี่ย เพิ่งคุยกันตอนเข้างาน เขามาบอกว่าอยากคุยกับพี่มาร์ค พี่มาร์คเป็นคนยังไงคะ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ”

               ผมหัวเราะกับไอ้เสียงแหบที่พยายามดัดซะแหลมเพื่อเลียนเสียงของมันจนเกือบสำลักบุหรี่ ให้ตายเถอะ ใครเคยบอกมันไหมว่าฟังแล้วตลกเป็นบ้า อย่าให้ใครได้ยินเชียวนะ แสลงหูหมด


               เรายืนคุยกันอยู่ข้างนอกท่ามกลางอากาศหนาวกับลมแรงๆ แต่ดูจะไม่ค่อยมีผล เมื่อเราไม่ได้มีท่าทีที่อยากกลับเข้าไปข้างในเอาเสียเลย จริงๆค็อกเทลในมือแจ็คสันหมดไปนานแล้ว ถ้ามันจะไปเติมผมก็ไม่ว่าอะไร แต่มันไม่ไป แถมยังวางแก้วทรงสูงไว้บนระเบียงเสียจนน่าหวาดเสียวว่าจะตก
     
               “วันนี้มีแต่คนพูดถึงมาร์ค..”

               “หืม?”

               “มีแต่คนชมว่ามาร์คหล่อ มาร์คดูดี”
               “ไม่มีคำว่าแจ็คสันหล่อเลยแม้แต่ครึ่งคำ ดูดิ โคตรลำเอียง”
               “เนี่ย ฟังหลายรอบหลายคนละ โคตรเบื่อ เบื่อจนอยากจะไล่ออกมาพูดให้ฟังเอง”

               ผมยืนพิงระเบียงพลางยิ้มขำๆกับไอ้ประโยคที่บ่นจนยาวเหยียดนั่น น่าแปลก เวลาน้อง.. อะไรนะ เออ นั่นแหละ น้องคนเมื่อกี้พูด ผมคิดอะไรไม่ออก ตอบไม่ถูกเอาเสียเลย เพราะสายตาที่คาดหวังให้ผมพูดตอบนั่นด้วยแหละมั้งที่ทำให้ผมอึดอัดจนไม่รู้จะตอบอะไรดีให้ถูกใจเธอ
               แต่พอเป็นแจ็คสันแล้ว..ผมรู้สึกว่าไม่ต้องพูดอะไรมันก็สามารถบ่นของมันต่อได้ โดยที่ผมแค่ยืนเงียบๆรอมันพล่ามไปเฉยๆก็พอ อย่างมากก็แค่ อืม หรือ อ่าฮะ แค่นั้นก็พอแล้ว มันไม่เคยเรียกร้องให้ผมร่ายประโยคยาวตอบกลับ เพราะไม่ใช่นิสัยผม
     

               “น้องผู้ชายที่แผนกยังมาขอเบอร์มาร์คอยู่เลย”
               ใครๆในบริษัทก็รู้ครับว่าแจ็คสันชอบผู้ชาย เพราะเจ้าตัวไม่เคยปิดบังเรื่องมีแฟนเป็นเพศไหน กินเด็กฝึกงานในบริษัทก็บ่อย คิดว่าตอนนี้คงเป็นตำนานไปแล้ว ส่วนผมไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องนี้นัก แต่ก็คิดว่าน่าจะได้หมดทั้งชายหญิงน่ะนะ
               “แล้วให้ไปมั้ย?”
               “ก็..”


               ยังไม่ทันที่ผมจะได้รับคำตอบ เสียงเลื่อนบานเลื่อนตรงระเบียงก็ดึงความสนใจของเราที่สุมหัวตากลมเป็นคนบ้ากันตรงนี้ คนที่มาใหม่นั่นพอเห็นหน้าแจ็คสันก็ยิ้ม เดินเข้ามากางแขนกอดอย่างสนิทสนม
               
               “ไม่เจอกันนานเลยแจ็คสัน เป็นไงบ้าง?”
               “ก็เรื่อยๆอ่ะพี่ งานเยอะ หัวฟูกลับบ้านทุกวันเลย” ไอ้คนมารยาทดีนี่ก็กอดตอบแน่น พลางตบไหล่ตบหลังอีกคนหนักๆสองสามทีก่อนจะปล่อย “พี่อ่ะ? เป็นไงครับ? งานเป็นไง”

               ผมปล่อยให้สองคนนั้นทักทายกันไปอย่างออกรสออกชาติ ผมไม่รู้จักคนๆนี้ แค่หน้าก็จำไม่ได้ ชื่อยิ่งอย่าหวัง ตำแหน่งหน้าที่เองก็ลืมไปได้เลย ไม่มีอะไรเหลือค้างในเมมโมรี่ผมสักอย่าง ดีหน่อยตรงที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากจะทักทายผมเท่าไหร่นัก ทำให้ผมไม่ต้องเปลืองแรงทำความรู้จักด้วย
               
               “จะว่าไป.. ตอนนี้เรายังใช้เบอร์เดิมอยู่มั้ย?”
               น้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่นดูจงใจจนอยากจะพ่นขำ แต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงอยากให้ผมได้ยินล่ะมั้งถึงได้เหลือบมาเช็คมองแบบนั้น
     
               “อ๋อ ครับ ผมไม่เคยเปลี่ยนหรอก” รูมเมทผมยังคงยิ้มระรื่น “ฮั่นแหน่ จะชวนผมไปไหนเหรอ?”
               อีกฝ่ายเหยียดยิ้มกว้าง ดูจะพอใจกับคำตอบเอามากๆ
               
               “ไปร้านที่เราชอบไปกันสองคนไงครับ”
  
        
               ดูจากไอ้เสียงที่เน้นหนักบางท่อนเนี่ย.. ผมว่าอีกฝ่ายคงจงใจแล้วล่ะ แถมยังเขยิบเข้ามาเสียชิด เบียดเอาไหล่ผมที่ห่างกับของแจ็คสันอยู่หลายคืบพลางแทรกตัวเข้ามาตรงกลาง กระซิบเบาๆข้างหูแจ็คสัน แต่ตาดันหันมามองผมอย่างท้าทาย               
               “คืนนี้เลยก็ได้นะครับ..พี่จะรอ”
     
               ว่าแล้วก็สะบัดตัวหันหลังจากไปอย่างกับนักแสดงในละครช่วงบ่าย ในขณะที่ไอ้คนที่มีนัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยยังหันมามองผมด้วยสายตางงๆ

               “เขาหึงเหรอ?”
               “คงงั้นมั้ง?” ผมหัวเราะเบาๆ ยิ่งคิดถึงท่าทางอีกคนแล้วยิ่งรู้สึกตลก



               อีกฝ่ายคงเป็นหนึ่งในคู่ขาของแจ็คสัน ซึ่งหลายๆคนที่โดนบอกเลิกลาไปมักจะคิดไปเองว่าผมเป็นสาเหตุ เนื่องจากเราทำตัวติดกันมากเกินไป จนพาลไม่ชอบหน้าผมไปหลายคนแล้ว…
               
               ไม่เร้าใจเองก็ไม่น่าพาลเลยนะ..
     
               แต่ก็เอาเถอะ คู่ขาของแจ็คสันทุกคนดันเป็นฝ่ายรับ หาที่ดีๆลีลาเด็ดๆคงจะยาก แต่ใครจะรู้ว่าเวลาแจ็คสันในตอนโดนทำนั่นเร้าอารมณ์กว่าเยอะ ไหนจะเสียง ไหนจะสีหน้า ไหนจะ..
          
               "...!"


               ผมสะดุ้งหน่อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงดึงจากข้างตัวที่โน้มคอผมลงไปกดจูบแรงๆ ตากลมโตนั่นมีประกายวิบวับ เหมือนตอนที่เรายังนั่งคุยกันอยู่บนโต๊ะ กระชิบเสียจนชิดใบหูทั้งที่ก็อยู่กันแค่สองคน
     

               “รู้ว่าวันนี้หล่อก็อย่าเลียปากเลียฟันแบบนั้นดิ ใจสั่นหมดแล้วเนี่ย..”
               “กลับบ้านมะ? หรือว่าดาดฟ้าโรงแรมดี? แต่บันไดหนีไฟก็ตื่นเต้นดีนะ”
     

               ประโยคเชิญชวนผสมกวนโอ๊ยนั่นแย่มากจริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะมีอารมณ์ร่วมไปกับมันหรือโบกหัวมันซักทีก่อนดี ผมเลยสะบัดมือฟาดก้นแน่นนั่นไปทีนึงก่อนจะกวนมันกลับไปบ้างด้วยประโยคที่เพิ่งได้ยินไปหมาดๆเมื่อสามนาทีก่อน

               “แล้วจะไม่ตามพี่เขาไป? รออยู่นี่”


               แจ็คสันยักไหล่ เอียงคอเล็กน้อยเหมือนเวลาที่ไม่รู้จะตอบอะไรหรือหมดคำจะพูด หน้าตายิ้มแย้มอารมณ์ดีนั่นยังไม่เปลี่ยน แต่ประโยคที่ออกจากปากนั่นเป็นอีกอย่าง
               


               “ก็ตอบตามมารยาทไปงั้นๆแหละ อยากรอก็ให้รอไปเถอะ”

               “ชื่ออะไรยังจำไม่ได้เลยว่ะ..”







แจ็คสันเป็นคนเข้ากับคนง่าย
          
ถึงจะเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่มันก็สามารถเข้าไปทักทายเหมือนกับว่าสนิทกันมาเป็นสิบๆปี
          
บางทีมันนั่งจ้อกับเขามาเป็นชั่วโมง แต่สุดท้ายแล้วดันไม่รู้จักชื่อกันก็มี


แต่ถ้าคุณคิดว่าการที่ใกล้ชิด หรือมีสัมพันธ์ลึกซึ้งแล้วจะทำให้สนิทกับมันมากขึ้น หรือมีอภิสิทธิ์เหนือใครแล้วล่ะก็..
          
ผมต้องขอแสดงความเสียใจไว้ตรงนี้ด้วย
         
      
     
อย่างแจ็คสันน่ะ.. ไม่ได้ให้คุณค่าใครง่ายขนาดนั้นหรอก





------------------------------------------------------------------------------------------







"มาร์คๆ"
"...หืม?"
"หล่ออ่ะครับ อยากได้ ♥ "

"แล้วอยากได้กี่รอบล่ะ..?"




#มสเพื่อนร่วมเตียง



LI5HT

Comments