BED FRIEND : 006



006


มาร์คเป็นคนหวงของยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
          
อะไรที่ขึ้นว่าเป็นของมัน มันหวงยิ่งกว่าชีวิต ไม่ยกให้ใคร ต่อให้พังก็ไม่ยอมทิ้งง่ายๆ
          
แต่กับแฟนตัวเองแล้ว..  มันดันเป็นอีกอย่างหนึ่ง



               ผมลืมตามาพร้อมกับอาการปวดหลัง..
               ดูจากเตียงที่นุ่มเกินพอดี กับกลิ่นที่ไม่ใช่ของตัวเองแล้วก็พอจะเดาได้ว่า… เตียงมาร์ค


               ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นควานหากางเกงที่น่าจะอยู่แถวๆนี้ เมื่อคืนเราทำกันที่ห้องผม แต่มาร์คบอกเองว่าจะทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าปูให้ ผมเลยมานอนที่ห้องอีกคนแทน แต่สุดท้ายเราก็ทำกันเบาๆอีกรอบที่นี่จนได้
               ผมคว้าได้กางเกงบอลของตัวเองที่ปลายเตียง สวมลวกๆก่อนจะลากตัวเองไปที่ห้องน้ำ ใช่.. มาร์คมันรับผิดชอบทำความสะอาดห้องนี่ แต่ไอ้เรื่องทำความสะอาดตัวเองนี่มันคงช่วยไม่ได้ และผมก็ไม่อยากจะขอให้มันช่วยด้วย
               

               เมื่อคืนเป็นการทำที่เบาที่สุดเท่าที่เราเคยทำกันมาในรอบปี ไม่รู้ว่าเพราะเราเมาด้วยรึเปล่า แต่ทุกอย่างช้า นิ่มนวล และหนักแน่นจนผมแทบจะละลาย ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามาร์คเมาแล้วจะเป็นแบบนั้น แปลกใหม่อย่างกับทำกับคนแปลกหน้า ปกติมาร์คแม่งรุนแรงเร่าร้อนจะตาย..
          
               แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนะ แค่แปลกใจ



               เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นมาร์คมันนั่งทำงานอยู่ คงตื่นเร็วกว่าผมไม่เท่าไหร่หรอก ที่ตลกคือมันดันเอาที่คาดผมของผมไปใส่ เสยหน้าม้ายาวๆนั่นให้ขึ้นไปแถมยังมีแว่นอีกอัน ผมที่เดินผ่านนี่ขำพรืด

               “อะไร..?” มันเงยหน้ามาถาม “หล่อล่ะสิ”
               
               โอ้โห… ไอ้คนมั่นหน้า
               แต่เรื่องหล่อผมไม่เถียงมันก็แล้วกัน คนบ้าอะไรขนาดใส่ที่คาดผม แว่นตาสี่เหลี่ยมโง่ๆ เสื้อยืดสีเหลืองลายปิกาจู กับกางเกงขาย้วย แถมหนีบสลิปเปอร์ลายแพนด้าก็ยังดูดี โลกแม่งลำเอียงเกินไปแล้ว ทำไมต้องให้มันหล่อพร่ำเพรื่อขนาดนี้ด้วย ไม่เห็นจะเข้าใจ


               ผมเดินเข้าครัวหลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว ต้มน้ำชงกาแฟไปพลางล้างจานของเมื่อคืนไปพลาง และเมื่อสังเกตว่าแก้วกาแฟของมาร์คยังวางอยู่ในชั้นก็รู้ได้ว่ามันก็ยังไม่ได้ดื่มกาแฟเหมือนกันเลยหยิบมาชงให้ซะ
               แก้วของมาร์คใบนี้ผมเห็นตั้งแต่… น่าจะม.ปลายปี 2 ได้นะ มันซื้อมาจากสตาร์บัคส์ แล้วก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ อยู่ถึงทุกวันนี้ มันมีรอยแตกหน่อยๆตรงปากแก้วด้านหนึ่ง หูแก้วมีรอยร้าว ลายก็เลือนจนมองแทบไม่เป็นรูป ผมเคยบอกให้มันเปลี่ยนไปเป็นใบใหม่ที่ลายเหมือนกันสีเหมือนกันเป๊ะๆ และวางขายในร้านเดียวกันชั้นวางเดียวกันแต่มันก็ไม่ยอม ทู่ซี้ใช้อยู่นั่น มันบอกว่าดื่มด้านที่ไม่แตกเอาก็พอไหวอยู่
               
               แถมไอ้เสื้อปิกาจูนั่นก็ใส่มาตั้งแต่ประถมมั้ยล่ะ? จากที่เคยใส่แล้วยาวยันเข่านี่ตอนนี้เกือบจะเป็นเอวลอย
               
               ถ้าจะมีใครสักคนที่ใช้ของทนโคตรๆ ชื่อแรกที่ผมนึกถึงคือมาร์คนี่แหละ



               ผมเสียอีกที่เปลี่ยนข้าวของแทบจะทุกเดือน ไม่ใช่เพราะรวยนะ.. แต่ชอบมีคนเอาของผมไปใช้
               อย่างแก้วกาแฟใบนี้ผมก็เพิ่งซื้อมาเมื่อ...สามเดือนก่อนเห็นจะได้ เห็นผลเพราะใบเดิมนั้นแฟนเก่ามาร์คเอาไปใช้ ผมไม่ชอบใช้อะไรร่วมกับคนอื่น ถ้าเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบไปใช้ก็ยกให้ไปเลย ไม่รู้สิ มันไม่ชอบนี่ อะไรที่เป็นของผม ก็อยากจะให้เป็นของผมคนเดียว ใช้ได้คนเดียว สบายใจกว่า

               ผมวางแก้วกาแฟของอีกคนลงบนโต๊ะ มันแค่พึมพำขอบคุณแล้วก็ยกขึ้นจิบ ตายังไม่ละจากจอแมคบุ๊ค
               “วันนี้ไปไหนมั้ย?” อีกคนถาม ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน เมื่อวานก็แคนเซิลพี่ยองแจไปแล้วครั้งหนึ่งเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไร และอยากนอนอยู่บ้านชิลๆมากกว่า

               ...โอเค ก็ได้ๆ

               ผมเหนื่อยจริง นั่นไม่ได้โกหก แค่ไม่ได้เหนื่อยขนาดที่จะปฏิเสธการไปเที่ยวกับแฟนในคืนวันศุกร์เอากลางทางหรอก ผมแค่ลังเล ไม่ชัวร์ว่าถ้าไปแล้วจะสามารถเอนเตอร์เทนอีกคนได้ไหม จะสนุกหรือเปล่า หรือจะเป็นแค่การไปเบียดฝูงชนในวันสิ้นเดือนที่ทำให้อยากเป็นลมมากกว่าเดิม และนอกจากนั้น…
               
               ผมอยากอยู่กับมาร์คมากกว่า...

               ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่เมื่อคืนผมไม่อยากเจอใครทั้งนั้นนอกจากรูมเมทตัวเอง ไม่มีใครที่จะนั่งเงียบๆกับผมได้เป็นชั่วโมงโดยไม่รู้สึกตะขิดขวงหรือพยายามชวนให้ผมคุย และรู้สิ่งที่ผมต้องการโดยไม่ต้องขยับปากพูดแม้แต่คำเดียวได้เท่ามาร์ค แถมอยู่กับมันก็ไม่ต้องฝืนตัวเองให้ทำตัวร่าเริงทั้งที่เหนื่อยใจแทบขาด แต่ปากก็ดันตกลงรับคำพี่เขาไปแล้วตามความเคยชินเสียนี่                            ผมแต่งตัวด้วยความลังเล ออกจากห้องด้วยความลังเล แต่เมื่อไปถึงสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น ผมก็เลือกที่จะควักมือถือออกมาส่งข้อความหาอีกคนเพื่อบอกว่าผมไปไม่ได้ พร้อมกับพิมพ์ข้อความขอโทษยาวไปซัก 2 หน้าสกอร์บาร์

               แน่นอนว่าเรื่องนี้จะให้ไอ้คนที่ใส่เสื้อปิกาจูแถวนี้รู้ไม่ได้เด็ดขาด


               “ไม่รู้ว่ะ ขี้เกียจอ่ะ ไม่อยากไปไหน” ผมตอบตามตรงพลางนั่งลงบนโซฟา “ทำไมวะ?”
               “แบมจะมาหา”

               โอเค.. เข้าใจได้

               อันนี้เป็นความต่างของเรา มาร์คชอบพาแฟนมาห้องเพราะมันขี้เกียจออกไปข้างนอก ส่วนผมน่ะชอบไปหาแฟนมากกว่าเพราะชอบพาไปเดทนอกสถานที่ เมื่อก่อนเวลามาร์คพาแฟมาผมก็อยู่ในห้องแหละ แต่สังเกตว่าแฟนมันดูจะอึดอัดเวลามีผมอยู่ด้วย หรือบางทีเขินผมก็ไม่รู้ หลังๆเลยหาเรื่องออกไปข้างนอกแทน
               ...แต่วันนี้ขอเหอะ เพลียจะแย่
               
               “เดี๋ยวแบมมาค่อยไปอยู่ในห้อง ไม่อยากขยับตัวอ่ะ..”
               พูดจบผมก็ทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนกับโซฟา มาร์คหันมามองเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายมันก็เงียบไป






------------------------------------------------------------------------------------------





               แบมแบมมาที่ห้องเราตอนราวๆบ่ายโมง ผมยังนอนดูทีวีกับมาร์คมันอยู่เลยลุกกลับห้องไม่ทัน เป็นอันว่าต้องมาทำความรู้จักแฟน..น่าจะคนที่ห้าร้อยได้ของมาร์ค
               สภาพผมตอนนี้เยินอย่าบอกใคร เสื้อกล้าม กางเกงบอล หัวเหอไม่เป็นทรง ส่วนมาร์คแม่งแค่เอาที่คาดผมออกกับเปลี่ยนเสื้อเท่านั้นมันก็ดูเป็นคนกว่าผมอีก

               “สวัสดีฮะ”
               น้องเขาดูน่ารักดีครับ ยังเด็กอยู่เลย ไม่ยักกะรู้ว่ามาร์คมันชอบแบบนี้ด้วย ปกติเห็นชอบเผ็ดๆเอ็กซ์ๆมากกว่า เดี๋ยวนี้แก่ตัวเลยเปลี่ยนเทสป่ะวะ
               
               ผมกับแบมแบมแนะนำตัวกันนิดหน่อย น้องมันดูเกร็งๆเหมือนเกรงใจผม แต่ผมเองก็ติดหนังในทีวีเกินกว่าจะลุกออกไป ปล่อยให้แฟนมันทำหน้าที่เทคแคร์บ้างก็แล้วกัน วันนี้ขอผมเสียมารยาทวันนึง
               “นั่งนั่นก็ได้นะ” มาร์คชี้ไปที่โซฟาอีกฝั่ง ก่อนจะยื่นถังป๊อบคอร์นให้คนมาใหม่
               “กำลังดูหนังกันอยู่เลย กินมะ?”
               
               ผมเท้าคางกับพนักโซฟา ตามองจอนิ่งๆ แต่ก็ยังได้ยินเสียงแบมแบมบ่นว่าดูไม่รู้เรื่องเนื่องจากเป็นซาวด์แทร็คไม่มีซับ ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมกับมาร์คดูหนังกันแบบนี้ตลอด คงยากหน่อยถ้าไม่ค่อยคุ้น ส่วนมาร์คเองก็หาได้สนใจไม่ หลังจากยื่นป๊อบคอร์นให้เมื่อกี้ก็จดจ่อกับหนังอย่างเดียว
               ...ผมล่ะสงสารแบม


               “มาร์ค ไปเอาน้ำมาให้น้องไป”
               ผมบอกมันเมื่อได้ยินเสียงไอขลุกขลักเหมือนป๊อบคอร์นติดคอจากโซฟาฝั่งนู้น ในขณะที่น้องแบมก็รีบบอกปัดเป็นพัลวัน บอกว่าทำเองได้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ครัวด้วยตัวเอง
               มาร์คมันทำท่าเหมือนจะไม่ตามไปจนผมต้องเอาเท้าสะกิดไล่มันอีกรอบ ยัง.. ยังจะทำหน้าบูด นั่นแฟนนะโว้ย แฟนที่ถ่อมาหาถึงที่บ้าน สนใจเขาบ้างอะไรบ้างเถอะวะ


               “แบม แก้วสีฟ้านั่นใช้ไม่ได้นะ..”
               ผมได้ยินเสียงจากในครัวที่อยู่ด้านหลัง ไม่ต้องเดาหรอกครับ สีฟ้านั่นแก้วของผมเอง
               
               “ใช้สีขาวนั่นเถอะ”
               ส่วนสีขาวนั่นไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ใช่ไหมครับ? นั่นเป็นของไว้รับแขก และก็มีอยู่แค่สองใบ ปกติห้องเราไม่ค่อยมีแขกเท่าไหร่เลยไม่ได้ซื้อไว้เยอะ

               “อ้าวพี่มาร์ค แก้วนั่นแตกแล้วนี่”
               ผมว่าแบมต้องเจอไอ้แก้ววัตถุโบราณของรักของหวงของมาร์คมันเข้าแล้วแน่ๆ เมื่อกี้ล้างเสร็จก็คงเอาไปวางไว้บนชั้น ด้วยความเก่าที่ล้ำหน้าแก้วทุกใบบนชั้นวางเดียวกันก็ไม่แปลกที่แบมจะเห็น
               “ใช้แก้วที่แตกแล้วไม่ดีนะ บ้านผมเค้าเชื่อว่าเป็นลางไม่ดี” จริงๆแล้ว.. จะใช้แก้วแตกแล้วยังไงก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละครับ มันจะบาดปากเอาได้ จะมีก็แต่มาร์คต้วนนี่แหละที่ไม่แคร์ แถมยังใช้ต่อ “พี่มาร์คเปลี่ยนใบอื่นเถอะ”
          
               “ช่างเหอะ ไม่เป็นไรหรอก”
               
               “ดูดิ มันแตกขนาดนี้ เราไปซื้อใหม่กันมั้ย? ผมซื้อให้พี่ก็ได้”
               
               “แบม ไม่เอา วางลง”

               เสียงที่เริ่มจะกดต่ำลงของมาร์คกับเสียงงุ้งงิ้งของแบมแบมดังอยู่ไกลๆ ผมเข้าใจว่าน้องมันหวังดี และอีกคนคงไม่เข้าใจนิสัยของมาร์คถึงได้พูดแบบนั้น
               

               “น่า พี่มาร์ค นี่แก้วสตาร์บัคส์ใช่มั้ยล่ะ? ที่ไหนก็มีน่า ซื้อใหม่เถอะ”
               “ดูสิ หูมันร้าวจะแย่แล้วนะ เดี๋ยวก็..”


               เพล้ง


               และนั่นคือเสียงแรก ที่ทำให้ผมหันกลับไปมองในครัวที่มีสองคนนั้นอยู่





------------------------------------------------------------------------------------------




               “มาร์ค..”
               
               ผมเรียกคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเคาท์เตอร์ครัว ตาคมๆนั่นไม่ได้หันมาสบ มันยังคงมองนิ่งไปที่จุดเกิดเหตุเมื่อครู่ แม้ซากที่เป็นหลักฐานนั้นจะถูกเก็บไปแล้วก็ตาม
               

               แบมแบมกลับไปเมื่อราวๆ 20 นาทีก่อน หลังจากที่แก้วกาแฟนั้นหล่นลงจากมือน้องจนกระทบพื้นแตกเป็นเสี่ยง จริงๆมันไม่ใช่ความผิดของเด็กคนนั้นเลย ลำพังหูแก้วกาแฟนั่นก็ร้าวเต็มที ไม่วันใดวันนึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนี้

               ...แค่มันบังเอิญแตกตอนอยู่ในมือของอีกฝ่ายเท่านั้น
               
               และพอหลังจากมันแตก มาร์คก็เงียบนิ่งไปจนอีกฝ่ายหน้าเสีย ไม่ว่าจะพยายามขอโทษหรืออธิบายยังไงมันก็ไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น ยังคงจ้องนิ่งมองเศษแก้วใบนั้นนิ่งๆ ผมที่ทนเห็นไม่ได้จึงมาบอกให้แบมกลับไปก่อน สงสารน้องมันก็สงสาร แต่ก็ดีแค่ไหนที่มาร์คไม่อาละวาดใส่


               “มาร์ค…”

               ผมเรียกมันซ้ำ เบียดตัวเองเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายที่ในที่สุดก็ยอมสบตาด้วยเสียที ดวงตาคมนั่นว่างเปล่าจนน่าใจหาย ผมไม่ค่อยได้เห็นมันบ่อยๆหรอก แต่เมื่อไหร่ที่เห็นก็อดปวดใจเป็นเพื่อนมันไปด้วยไม่ได้ ยกมือขึ้นบีบลูบหลังคอมันเบาๆ

               จะว่าน่าตลกก็ได้ คนอะไรเศร้าจะเป็นจะตายกะอีแค่แก้วกาแฟแตก แต่อย่างที่บอกแหละครับ มาร์คมันรักทุกอย่างที่เป็นของมัน ต่อให้เป็นของเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นของมัน มันจะให้ความสำคัญทั้งหมด และเศร้าหนักทุกครั้งที่เสียไป ถ้าคุณได้เห็นสายตาของมาร์คตอนนี้ ผมเชื่อว่าคุณจะหัวเราะไม่ออกเลย
               
               ผมแตะริมฝีปากลงกับอีกฝ่ายเบาๆ ปลอบมันด้วยการกระทำดีกว่าคำพูดเยอะ อย่างน้อยๆมันก็ไม่ต้องฝืนตัวเองมาคุยกับผมในอารมณ์ดิ่งๆแบบนี้ เพียงแค่อ้าปากและจูบตอบกลับมาช้าๆ เกี่ยวกระหวัดลิ้นของเราเข้าด้วยกัน ดูดดึงเบาๆ เชื่องช้า ไม่รีบร้อน ก่อนที่เราจะขยับเข้าชิดกันมากขึ้น และแขนผอมนั่นรวบตัวผมเข้าไปกอดไว้เต็มอ้อมแขน
               กลีบปากอุ่นที่ถอนออก และประกบเข้ามาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามีร่องรอยของความอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก ไม่เหมือนตอนที่เราจูบกันแรงๆเวลาโกรธ มันช้ากว่านั้นมาก และสัมผัสที่แตะลงมาก็แผ่วบ้าง หนักบ้าง เหมือนเสียงคนเราตอนที่ร้องไห้ไปสะอื้นไปยังไงชอบกล               
               เราจูบกันนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ แต่ในเมื่อมาร์คยังไม่ปล่อยมือ ผมก็ยินดีจะให้มันจูบต่อจนกว่ามันจะพอใจ


               ผมย้ำอีกครั้ง.. ผมสงสารแบมแบม






มาร์คเป็นคนหวงของยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
               
อะไรที่ขึ้นว่าเป็นของมัน มันหวงยิ่งกว่าชีวิต ไม่ยกให้ใคร ต่อให้พังก็ไม่ยอมทิ้งง่ายๆ
               
แต่กับแฟนตัวเองแล้ว..  มันดันเป็นอีกอย่างหนึ่ง

เพราะต่อให้คบนานแค่ไหน ลึกซึ้งกันเพียงไร แต่พอตอนเลิกกัน ไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้มาร์คเสียใจได้เท่าแก้วกาแฟใบนี้
               
นั่นทำให้ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่า แฟนหน้าตาไม่เคยซ้ำกันของมาร์คที่ผ่านมานั้น
               


               
ไม่เคยมีใครเลยที่ได้ชื่อว่าเป็น “ของมาร์ค” จริงๆแม้แต่คนเดียว







------------------------------------------------------------------------------------------


#มสเพื่อนร่วมเตียง




LI5HT

Comments