BED FRIEND : 005



005


ความสัมพันธ์ของผมกับแจ็คสันเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะซับซ้อน แต่เปล่า มันออกจะง่าย
               
เราทำทุกอย่างที่เป็นการปฏิสัมพันธ์ทางกาย กอด จูบ หรือมากกว่านั้น
               
ส่วนสัมพันธ์ทางใจที่เหลือนั่น.. เราเลือกจะปล่อยมันว่างไว้




               “มาร์ค กินข้าว”

               แจ็คสันปลุกผมในตอนเย็นด้วยอวัยวะที่ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าไม่ใช่มือ ผมสะลึมสะลือลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆ ปรับสมองให้เข้าที่เข้าทาง ในขณะที่คนสวมเชิ้ตทำงานกำลังรูดเนคไทออกจากคอพลางปลดประดุมที่ติดแน่นขึ้นไปถึงปก

               บนโต๊ะกินข้าวมีอาหารสองสามอย่าง แจ็คสันคงแวะซื้อมาก่อนกลับบ้านเมื่อกี้ และโดยไม่ต้องให้สั่ง ผมลุกขึ้นไปแกะมันใส่จานให้เรียบร้อย ในขณะที่คนเพิ่งเลิกงานเดินเข้าห้องน้ำไป
               เราอยู่ด้วยกันมายี่สิบห้าปี นานจนคำพูดแทบจะไม่จำเป็น บางครั้งเราก็อยู่ด้วยกันในห้องเงียบๆแบบนี้ มันไม่ได้อึดอัดเลย ออกจะเฉยๆด้วยซ้ำ แค่รู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ แต่ก็ไม่ก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวมากเกินความจำเป็น ใกล้เมื่อต้องใกล้ ห่างเมื่ออยากห่าง และไม่มีดราม่าหากใครสักคนจะเปลี่ยนไป
               
               นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ผมอยู่กับแจ็คสันได้นานขนาดนี้
               
               ผมตักข้าวให้ตัวเองและอีกคน หัวก็คิดถึงเรื่องสรุปงานในวันพรุ่งนี้ไปด้วย วันนี้วันศุกร์ พรุ่งนี้วันเสาร์ บริษัทหยุดก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องเลิกเตรียมงาน ยังไงซะวันจันทร์ก็ต้องทำอยู่ดี ทำเตรียมไว้น่าจะดีกว่า


               กำลังคิดอะไรเพลินๆ มือถือก็สั่น สายโทรเข้าจากแบมแบมที่มีมิสคอลค้างเอาไว้ 2-3 สาย อีกคนอาจจะโทรมาตั้งแต่ตอนที่ผมน็อคไปตอนเที่ยง ใช่สิ วันนี้วันศุกร์ เขาอาจจะอยากเที่ยว

               แต่เสียใจ ผมไม่อยาก แค่ขยับตัวยังขี้เกียจเลย

               ผมกดปุ่มปิดเครื่อง วางมันคว่ำหน้าไว้กับโต๊ะพลางฟุบหน้าลงข้างๆ ผมยังไม่ตื่นดี.. สารภาพตรงนี้ อยากกินข้าวแล้วหลับต่อจะแย่ ติดตรงที่ไอ้คนในห้องน้ำมันไม่ออกมาสักที ดีไม่ดีผมอาจจะหลับไปอีกรอบ รอให้มันมาปลุกกินข้าวซ้ำ..

               นั่น พอกำลังจะทำก็ดันอาบเสร็จเสียนี่

               เรากินข้าวด้วยกันตั้งแต่จำความได้ แม่ของแจ็คสันชอบเรียกผมไปกินข้าวที่บ้านนู้น แล้วพอกินเสร็จผมก็จะชวนแจ็คสันไปที่บ้านผม (ซึ่งก็ห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตรวัดจากขอบรั้ว) นั่งเล่นเกมบนห้อง ตบท้ายด้วยการนอนค้างคืนที่บ้านผมแล้วค่อยให้แม่เขามารับตัวไปตอนเช้า มันเลยชินไปเสียแล้วที่จะต้องรอให้อีกคนมานั่งแล้วกินพร้อมกัน ทั้งๆที่เราก็เคยบอกกันและกันแล้วว่าถ้าหิวให้กินก่อน แต่ก็นั่นแหละ ไม่เคยมีใครแตะอาหารเลยถ้าอีกฝ่ายไม่นั่งลง

               “งานเป็นไง?” ผมถามไปงั้น ถ้าไม่เสร็จ แจ็คสันมันคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก
               “ก็ดี แก้ทัน เรียบร้อยดี” คนในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบอลตอบกลับมาก่อนหย่อนก้นนั่งฝั่งตรงข้าม “เลี้ยงกาแฟน้องในแผนกไปด้วย บางคนยังไม่หายตกใจเลย”

               ผมหัวเราะเบาๆ นั่นสินะ เด็กมาใหม่คงไม่ค่อยเห็นแจ็คสันโหมดอาละวาด เพราะส่วนมากคนที่มีชื่อเสียงในด้านนี้คือผมมากกว่า ส่วนแจ็คสันน่ะถังดับเพลิงกิติมศักดิ์ “ก็โกรธบ่อยๆดิ จะได้ชิน”
               “ตลกตายล่ะ..”



               บทสนทนาจบลงแค่นั้น เรานั่งกินข้าวกันต่อเงียบๆจนกระทั่งอิ่ม  ผมรวบเก็บจานชามเข้าด้วยกัน ยังไม่มีอารมณ์ล้าง แต่อย่างน้อยก็เอาไปแช่อ่างกันมดขึ้นไว้ก็ยังดีกว่าปล่อยไว้ทั้งๆแบบนี้ อีกคนเองลุกขึ้นมาจัดการกับพวกเศษอาหารใส่ในถุงพลาสติกในขณะที่ผมยกเอาจานชามไปวางไว้กับที่กับทาง
               ท่ามกลางความเงียบ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของแจ็คสันก็ดังขึ้นจากฝั่งห้องนั่งเล่น ผมเห็นอีกคนวางถุงพลาสติกไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาไอ้เจ้าเครื่องมือสื่อสารที่แหกปากเป็นเพลงฮิปฮอปที่มันชอบ

               “...ว่าไงครับพี่ยองแจ”

               ผมได้ยินบทสนทนาเพียงแค่นั้น ก่อนจะสะบัดมือที่เปียกน้ำเช็ดกับผ้าเช็ดมือแถวๆนั้น เดินถือไลท์เตอร์ออกไปสูบบุหรี่นอกระเบียง





               วันนี้วันศุกร์ แถมเป็นศุกร์สิ้นเดือน ผู้คนคงพากันออกไปเที่ยว พี่ยองแจเองก็คงอยากชวนแจ็คสันไปเที่ยวเหมือนที่แบมแบมโทรมาชวนผม มันไม่แปลกหรอก ที่แปลกคงเป็นผมที่ขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัวไปไหนจนขังตัวเองไว้ในห้อง ปิดมือถือหนีคนที่ควรจะให้ความสำคัญอย่างเช่นแฟนหน้าตาเฉย

               แต่แจ็คสันไม่น่าจะใช่..

               เพราะไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมเห็นอีกฝ่ายเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้าเอาแจ็คเกตตัวโปรดมาใส่ เดินไปยุกยิกๆจัดทรงผมอยู่หน้ากระจก ก่อนตะโกนบอกผมจากข้างในห้องว่าจะออกไปข้างนอกหรืออะไรสักอย่าง ส่วนผมเพียงแค่โบกมือไล่โดยไม่ได้หันไปมอง กว่าจะรู้ตัวว่าลืมถามว่ามันจะกลับไหมก็ตอนที่เสียงประตูดังขึ้นเสียแล้ว

               ช่างเหอะ คงไม่โง่ลืมกุญแจอีกหรอกมั้ง?


               ผมนั่งอยู่ตรงระเบียงนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มือล้วงหาแบล็คเมนทอลมวนที่สองหลังจากมวนแรกหมดลง ไอ้ห้าซองที่ผมเพิ่งซื้อไปเมื่อต้นเดือนตอนนี้เหลืออยู่แค่ 3 มวนเท่านั้น ไม่รู้ว่าสูบจัดไปหน่อยหรือว่างานเครียด ปกติผมจะพยายามคุมตัวเองให้ไม่เกินอาทิตย์ละกล่องเพื่อสุขภาพที่ย่ำแย่พอตัวอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะเลยเถิดจากที่พยายามคุมไว้ไปไกลพอควร
               ลมแรงๆของหน้าหนาวทำเอาขนลุก ผมใส่เสื้อแขนยาวก็จริง แต่มันก็ออกจะบางไปหน่อยเพราะใช้ใส่นอน แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะเดินเข้าไปหยิบโค้ทข้างใน การปิดโปรเจคกินพลังงานผมไปหมดแล้ว ตอนนี้เลยไม่เหลือแรงให้ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากเอนตัวลงพิงประตูบานเลื่อนกระจกที่เย็นเฉียบไม่แพ้กัน พ่นควันเย็นๆออกจากปากอย่างเลื่อนลอย ลืมไปแล้วว่าเคยวางแผนจะเขียนสรุปงานหลังกินข้าว

               จากวิวชั้น 35 ของคอนโด ข้างนอกนั่นมืดจนมองไม่เห็นอะไร มีแค่ไฟจากข้างในห้องของเราที่ส่องลอดม่านออกมาสลัวๆ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไร แต่สมองผมรู้สึกเคว้งคว้าง ว่างเปล่ากว่าทุกวัน


               ถ้าให้เดา ผมน่าจะอยู่ในอารมณ์ที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เหงา’
               หรือไม่งั้นก็แค่แบตหมด น็อตหลุดหลังกรำงาน
               
               ไม่ได้พยายามทำตัวเข้มแข็งนะ แต่ผมคิดว่า ถ้าผมเหงาจริงๆคงไม่ปิดมือถือหนีแบมแบมที่โทรมา หรือแม้กระทั่งขับรถออกไปผับที่ไหนสักที่ก็ยังได้ สิ้นเดือนแบบนี้หลายผับชอบมีอีเวนท์ด้วย ถ้าไปยังไงก็เจอคนเต็มไปหมดแบบไม่มีเวลาได้เหงา แต่ในความรู้สึกผมมันไม่ใช่แบบนั้น
               
               ไม่ได้อยากออกไปเจอผู้คนแบบนั้น…

               แต่การนั่งเฉยๆในห้องมันก็ว่างเปล่าเกินไป


               สมองผมพยายามประมวลผมว่าตัวเองเป็นอะไร และต้องการอะไรกันแน่ แต่พยายามคิดยังไงก็ไม่มีคำตอบ ได้แต่ปล่อยให้เปลวไฟเผาปลายบุหรี่ที่คาบเอาไว้ไปเรื่อยๆ หลับตาลง ความขี้เกียจกับจิตใต้สำนึกกำลังต่อรองกันว่าผมควรจะนอนมันตรงนี้เลยดีไหม หรือจะยอมขยับย้ายตัวเองไปนอนต่อในห้อง





------------------------------------------------------------------------------------------




               “มาร์ค”

               ผมลืมตาเพราะเสียงเรียก และเสียงเคาะประตูกระจกที่เอนหลังพิงอยู่
               ตอนนี้กี่โมงไม่รู้ ผมไม่ได้เปิดมือถือ แต่แจ็คสันกลับมาแล้ว มันทำหน้ายุ่ง ในมือถือถุงจากร้านสะดวกซื้อที่มีอะไรบางอย่างหน้าตาเหมือนกระป๋องเครื่องดื่มเรียงกันเป็นแพ็คมาด้วย
               
               “อย่ามานอนตรงนี้ดิวะ”
               ผมนอนเหรอ? เปล่าซะหน่อย แค่นั่งหลับตาเฉยๆเอง


               แจ็คสันหิ้วถุงนั่นพลางเลื่อนประตูเปิดออกหลังจากผมยันตัวเองขึ้นมานั่งดีๆ ตาจ้องมันนิ่งๆแต่ไม่ได้คิดอะไร ผมคงวูบไปจริงๆละมั้งถึงได้รู้สึกมึนๆเหมือนเพิ่งตื่นแบบนี้
               “พี่ยองแจล่ะ..?”
               ผมงึมงำถาม แต่มันคงอู้อี้และโทนต่ำไปหน่อยจนอีกคนเลิกคิ้วถามซ้ำว่าผมพูดอะไร ส่วนผมได้แต่โบกมือปัดเป็นเชิงว่าช่างมันเถอะ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูไม่ได้ติดใจจะซักไซ้

               “ซื้อเบียร์มา กินมะ?”
               แจ็คสันวางเบียร์กระป๋องอุ่นๆลงบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆกันพลางหยิบมาเปิด เสียงฟู่เบาๆของเบียร์กับท่าทีอร่อยเหลือเกินของอีกฝ่ายทำเอาผมอยากกินไปด้วย มือคว้าเอาอีกกระป๋องหนึ่งมาเปิดดื่มบ้าง



               เรานั่งซดเบียร์กันเงียบๆ กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าจนสองแพ็คเหลือแค่ 4 กระป๋อง ไม่รู้ว่าเราดื่มกันเร็วไปหรือเปล่า แต่ถ้าคำนวนจากเวลาที่แจ็คสันน่าจะกลับหลังเที่ยว..ตอนนี้ฟ้าควรจะสางได้แล้ว แต่มันยังคงมืดสนิทอยู่แบบนั้นจนน่าแปลกใจ แต่ผมก็เลือกจะมองข้ามมันไป
               ..จะเอาอะไรมากกับคนกระดกเบียร์นอนสตอป หลังได้รับแอลกอฮอล์ระบบประมวลผลของสมองมันก็ต้องทำงานเพี้ยนๆไปบ้างเป็นธรรมดา



               ร่างกายหลังได้รับแอลกอฮอล์ก็เริ่มจะอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว แจ็คสันถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่ออกเหลือแค่เสื้อยืด มือกำกระป๋องเบียร์เปล่าวางไว้ข้างตัวก่อนถอนหายใจยาวๆ
               
               “เหนื่อย..”
               ผมได้ยินมันพึมพำเบาๆ ตาลอยมองฟ้าอย่างที่ผมทำไปก่อนที่จะวูบ แจ็คสันมันคงน็อตหลุดเหมือนกับผมมั้ง เพิ่งโหมงานมา แล้วยังต้องออกไปข้างนอกอีก
               “...ขี้เกียจ”
               
               ผมยื่นกระป๋องเบียร์ของตัวเองไปชนกับมันเบาๆเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดนั้น เรียกรอยยิ้มมุมปากบนหน้าเราสองคน ก่อนที่หัวหนักๆของอีกฝ่ายจะเอนลงมากับไหล่ผม มือเอื้อมคว้ากระป๋องเบียร์ใหม่มาเปิด

               
               เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโปรแกรมที่คุ้นเคยดังมาจากมือถือในกระเป๋าเสื้ออีกฝ่าย ผมไม่ได้ก้มไปมอง แต่แจ็คสันเหมือนจะล้วงมันออกมากดพิมพ์อะไรสองสามทีทั้งที่หัวยังพิงไหล่ผม และกระดกเบียร์ไปด้วย ซึ่งด้วยความเปรี้ยวทำอะไรหลายอย่างทั้งที่ดวดเบียร์ไปเกิน 6 กระป๋องแล้วนั่นแหละที่ทำให้กะเป้าไม่ตรง เบียร์ไหลออกมุมปากจนเลอะเสื้อตัวเองไปหมด
               
               “โธ่เว้ย..”
               มือนั้นปัดๆเอาฟองเบียร์ออก แต่ก็เท่านั้นแหละครับ ชุ่มขนาดนี้มีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนใหม่ ผมเลยดันหัวมันออกจากไหล่ ไล่ไปเปลี่ยนเสื้อให้เรียบร้อย อีกฝ่ายดูไม่ค่อยเต็มใจ อิดออดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางมือถือลงแล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ



               ผมเหลือบไปเห็นหน้าต่างแชทของอีกฝ่ายที่ยังเปิดค้าง ไม่ได้อยากดูหรอก ตอนนี้ตาก็ค่อนข้างจะเบลอเอาเรื่อง อ่านตัวอักษรเกาหลีแทบไม่เป็น แต่ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนี้กี่โมง ถึงได้พยายามเพ่งเข้าไปในหน้าจอสี่เหลี่ยมนั่น ก่อนจะต้องตกใจกับตัวเลขที่เห็นจนต้องขยี้ตาซ้ำว่าไม่ได้มองผิดไป

               ...มือถือของแจ็คสันบอกว่าตอนนี้กำลังสี่ทุ่มนิดๆ
               
               สาบานว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ตาก็ดันเหลือบมองหน้าจอสนทนาที่มีข้อความใหม่เพิ่มขึ้นมา ดิสเพลย์รูปใบหน้าใครสักคนเด่นหรา ตามมาด้วยข้อความยาวเป็นพรืดที่ผมต้องใช้ความพยายามพอสมควรในการสะกด


JaeJae:
ไม่เป็นไรๆ เราเหนื่อยมากแล้วนี่ ไว้วันหลังก็ได้
คราวหน้าพี่จะชวนใหม่นะ



               ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่ ไม่สิ เข้าใจ แต่ไม่อยากเชื่อมากกว่า และนั่นก็ทำให้ลูกตาเลื่อนขึ้นไปมองบทสนทนาก่อนหน้าที่แจ็คสันพิมพ์ส่งไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะต้องขยี้ตาซ้ำอีกรอบ เมื่อเห็นว่ามันพิมพ์ปฏิเสธการออกไปเที่ยวกับพี่ยองแจเอาเมื่อราวๆทุ่มสี่สิบ.. ตามด้วยประโยคขอโทษขอโพยยาวเหยียดที่ผมเริ่มแปลไม่ออกแล้ว
               
               ...ผมนิ่งไปสักพัก พยายามให้สมองประมวลผลหาคำตอบว่า ทำไมแจ็คสันถึงไม่ไปตามที่ชวน ในเมื่อเจ้าตัวไม่เคยปฏิเสธใครอยู่แล้ว แต่สมองชุ่มแอลกอฮอล์ของผมก็ดูจะไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ในสถานการณ์นี้ เพราะต่อให้พยายามคิดให้ตายก็คิดไม่ออกจริงๆว่าเพราะอะไร

               ที่แต่งตัวออกห้องไปดิบดีนี่.. แค่ไปซื้อเบียร์จากซุปเปอร์ใต้คอนโดแล้วก็กลับเนี่ยนะ?
               
               ตลกล่ะแจ็คสันหวัง



               อึดใจถัดมา แจ็คสันที่เปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ก็กลับมานั่ง และโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ผมก็คว้าคออีกคนเข้ามาชิด และบดจูบลงไปบนปากนิ่มแดงนั่น กวาดไล้เอารสเบียร์ที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้น ก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้เสื้อกล้ามสีเหลืองที่เป็นของผมแต่อีกฝ่ายยืมมาใส่นอน กดสัมผัสไปทั่ว หาเหตุผลให้กับตัวเองว่าทำไมผมถึงปิดมือถือหนีโลกทั้งใบแต่ขังตัวเองอยู่กับมันตรงระเบียง และว่าทำไมอีกคนถึงไม่ออกไปเที่ยวกับแฟนแล้วซื้อเบียร์กลับมาดื่มกับผมแทน

               เพราะเหตุผลจริงๆนั้น..ยอมรับยากกว่าอะไรทั้งหมด

               ให้เราไม่ออกไปไหนเพราะทำกันทั้งคืนยังจะยอมรับง่ายกว่า..







ความสัมพันธ์ของผมกับแจ็คสันเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะซับซ้อน แต่เปล่า มันออกจะง่าย
               
เราทำทุกอย่างที่เป็นการปฏิสัมพันธ์ทางกาย กอด จูบ หรือมากกว่านั้น
               
ส่วนสัมพันธ์ทางใจที่เหลือนั่น.. เราเลือกจะปล่อยมันว่างไว้


ผมไม่เคยอยากให้มันเกิดขึ้น
               
เพราะเมื่อไหร่ที่เป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันจะไม่ง่ายอย่างที่มันเคยเป็นอีกต่อไป




------------------------------------------------------------------------------------------



#มสเพื่อนร่วมเตียง



LI5HT

Comments