BED FRIEND : 004



004



ถ้าหากมาร์คเกิดอาการปรี๊ดแตก มีอยู่แค่สองอย่างเท่านั้นที่คุณสามารถทำได้
               
นั่นคือหนึ่ง ยัดบุหรี่เข้าปากมัน และสอง มาเรียกผมให้ไปหิ้วมันมาปรับทัศนคติ
               
แต่ถ้าหากวันหนึ่ง.. กลายเป็นผมที่รู้สึกไม่โอเคขึ้นมาบ้างล่ะ?



               ผมหรี่ตามองใบเสนอคอนเซปต์โฆษณาตัวใหม่ที่ได้รับมาจากทีมคิดค้น วงแดงเป็นวงที่ห้าสิบเห็นจะได้จนทั้งแผ่นแทบจะไม่มีสีขาว ใครเป็นคนคิดแผนห่วยๆแบบนี้ขึ้นมาวะ? อยากจะเรียกมาด่ารายตัวเหลือเกิน แต่เวลาก็ไม่มีแล้วด้วย เย็นนี้ผมต้องพรูฟส่งหัวหน้าก่อน 4 โมง
               ก้มหน้ามองนาฬิกา.. ตอนนี้บ่าย อีกแค่ 3 ชั่วโมง ไม่มีเวลามาระเบิดอารมณ์ใดๆทั้งนั้น แต่ด้วยความกระชั้นของเวลาก็ทำให้เครียดจนไม่มีอารมณ์มาทำหน้าใจดีเหมือนกัน ผมเรียกประชุมทีมคิดค้น ยื่นเอกสารที่แดงเถือกตั้งแต่บนยันล่างกลับไปให้พร้อมชี้แจงเหตุผลเท่าที่สติจะอำนวย

               ปกติผมไม่ใช่คนเสียงนุ่มทุ้ม มันแหบ ห้าว และฟังดูดุดันอย่าบอกใครโดยเฉพาะเวลาที่หงุดหงิดและพูดเร็วๆ ไม่แปลกที่น้องๆผู้หญิงของทีมตรงหน้าจะสั่นเป็นเจ้าเข้าตอนที่ผมสาธยายชี้แจงจุดที่ต้องแก้ไข บางคนน้ำตาคลอ ดูไม่มีสติเอาเสียเลยจนลืมตัวถามย้ำด้วยเสียงที่..ห่างไกลจากคำว่าตวาดนิดหน่อย
               “พะ..พี่แจ็คใจเย็น..” ลูกทีมผม หน่วยกล้าตายเพียงคนเดียวที่กล้าเปล่งเสียงขึ้นมาขัดในเวลานี้แตะแขนผมอย่างๆกล้าๆกลัวๆ ปกติผมเอ็นดูมันนะ เล่นกันก็ออกบ่อย แต่ไม่ใช่ตอนที่กำลังโมโหแบบนี้

               ผมหันกลับไปมองด้วยสายตาที่ทำให้อีกฝ่ายปล่อยมือแทบจะทันที เกิดเดธแอร์ที่น่าอึดอัดขึ้นในห้อง และมันคงจะยาวนานออกไปอีกหลายนาที หากเสียงรองเท้าแตะกระทบพื้นและเสียงผลักประตูจะไม่ดังขึ้นขัด

               ฝ่ามือหนักๆของใครบางคนวางลงบนไหล่


               “ไปดูดบุหรี่เป็นเพื่อนหน่อยดิ”





------------------------------------------------------------------------------------------




               “ไหนบอกดูดบุหรี่?”

               ผมถามคนที่เพิ่งชวนกึ่งลากผมออกมาจากห้องทำงาน มันบอกว่าจะไปดูดบุหรี่ แต่เพราะอะไรไม่รู้ถึงได้แวะเข้ามาในห้องเก็บของเสียได้ ข้างในมันออกจะสลัวๆหน่อย แสงเข้าได้ทางเดียวคือผ่านบานกระจกเล็กๆขนาดไม่เกิน 20x20 เซนติเมตรตรงประตู ข้างในเก็บของหลายหลาก ทั้งตู้ เอกสารเก่ามัดตั้ง หรือแม้กระทั่งของที่ใช้ในงานตกแต่งอีเวนท์

               “ก็เดี๋ยวค่อยไป..” หัวหน้าทีมพัฒนาไอทียักไหล่ ดูจากความเสื้อยืด กางเกงขาย้วย รองเท้าแตะ และแว่นตา ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าเมื่อวานมันไม่ได้กลับบ้าน “แวะดูของแปลกก่อน”
               ไอ้ประโยคกวนประสาทนั่นทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่ รู้สึกเหมือนโดนล้อเลียน
               “มาร์ค.. ไม่ตลก” ผมกดเสียงต่ำ แต่ก็เหมือนกันแหละครับ ผมเฉยๆกับสายตาพิฆาตคนของมาร์คเท่าไหร่ มาร์คก็ชินกับความเสียงต่ำคาดโทษที่ผมเท่านั้น “เดดไลน์สี่โมง ไม่มีเวลาแล้ว”


               ริมฝีปากบางยกยิ้มเหมือนจะชอบใจเหลือเกินที่ผมหงุดหงิด มือเรียวสวยราวกับนักเปียโนแตะเข้าเบาๆที่หลังคอ ลูบบีบเบาๆอย่างที่ชอบทำเวลาที่ผมโมโห
               “ไม่มีหัวหน้าสักคน เขาก็ทำงานกันได้น่า”


               ลิ้นอุ่นเลียเบาๆที่ริมฝีปาก มันนิ่มนวลชวนเคลิ้มก็จริง แต่ก็มีแววของความตลกขบขันมากเสียจนไม่อยากจะอ้าปากจูบอีกฝ่ายตอบตอนนี้ ผมเลยเม้มปากแน่น ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์แม้ว่าลิ้นนั่นจะเปลี่ยนเป็นสัมผัสเบาๆของกลีบปากนุ่มก็ตาม
               กลิ่นมิ้นท์แรงๆของบุหรี่ยี่ห้อโปรดของมาร์คทำให้ผมเย็นลงนิดหน่อย พอเข้าใจแล้วว่าทำไมชอบสูบนัก ผมหลับตาลง ไม่อยากจะอยู่มองสายตาวิบวับนั่นที่จ้องมาอย่างล้อเลียนให้อารมณ์ร้อนไปมากกว่านี้ ผมไม่ค่อยโมโหบ่อยนัก และชอบบอกอีกคนที่มักจะหัวร้อนเสมอว่าให้เย็นเสียบ้าง พอมาเป็นตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่ากำลังโดนคำที่พูดๆเอาไว้กลับมาทำร้ายเต็มๆ

               ซึ่งมาร์คมีวิธีกวนประสาทผมได้ดีกว่าการเอาคำที่ผมเคยพูดมาล้อเลียนเยอะ..


               “หลับไปเลยก็ได้นะ..” ปีศาจจอมโหดประจำแผนกไอทีพึมพำชิดใบหู เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่หมอนั่นผละจากปากผมไปที่อื่น แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะทำให้มันยาวยืดไปกว่านี้ก็เลยหลับตาลงเสียให้มันจบๆไป
               ผมได้ยินเสียงหายใจของเราสองคนชัดขึ้นในห้องแคบๆ กลิ่นกระดาษเก่า เสียงขยับตัวของมาร์ค เสียงกลอนประตูที่ล็อกดังกริ๊กอยู่ข้างหลัง ก่อนที่มันจะกลายเป็นเสียงรูดซิปเบาๆแต่รู้สึกชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะมันเป็นซิปกางเกงตัวที่ผมใส่อยู่ตอนนี้

               “มาร์ค..!”

               “Shh…”  เสียงจุ๊ปากเบาๆเหมือนหลอกเด็กนั่นฟังดูกวนประสาทสุดๆ ให้ตายเถอะ “Don’t you move..”

               เคยบอกรึยังว่ามาร์คเกิดที่อเมริกา? หมอนั่นเป็นชาวอเมริกันอย่าถูกต้องตามกฏหมายและบินไปๆกลับๆอยู่หลายรอบในหนึ่งปี ผมชอบสำเนียงอเมริกันของมาร์คมาก และมันก็ฟังดูเซ็กซี่สุดๆเวลาเขาใช้มันบนเตียง แต่นั่นคือตอนที่ผมมีอารมณ์ร่วมไง ไม่ใช่ตอนที่กำลังหงุดหงิดแต่ถูกบีบให้เปลี่ยนอารมณ์อย่างไม่เต็มใจแบบนี้


               ผมผลักอกอีกฝ่ายออก จริงๆแล้วคนทำงานกับคอมพิวเตอร์จนลืมเวลา กินข้าววันละมื้อเป็นส่วนใหญ่อย่างมาร์คไม่ควรจะต้านแรงคนที่ออกกอง ยกไฟ ถ่ายงานทุกวันแบบผมได้เลยแม้แต่น้อย แต่นี่ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ไอ้แขนผอมแห้งกับร่างเพรียวๆนั่นถึงได้ถึกนัก แถมแรงเยอะเป็นบ้า นอกจากที่ผลักไปจะไม่เป็นผลแล้ว ยังโดนมันโถมร่างใส่จนหลังติดกำแพง

               “Chill, dude..”
               กลิ่นบุหรี่มินท์กับเสียงแตกพร่าล่อลวงอยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วเรียวที่นวดคลึงอยู่ด้านล่างแผ่วๆก็ชวนเคลิ้ม มาร์ครู้จังหวะที่ผมชอบ เริ่มช้าๆ ค่อยๆเพิ่มสัมผัสให้หนักขึ้น บดคลึงในส่วนที่รู้ว่าถ้าทำผมจะต้องรู้สึกมากกว่าที่อื่น ทำให้รุ่มร้อนไปทั้งตัวจนครางแผ่วหวิวในลำคอ
               กางเกงผมยังไม่ถูกปลดออกก็จริง แต่ด้วยความที่มือคู่นั้นทำงานดีเกินไปหน่อยทำให้มันคับกว่าปกติขึ้นมาเสียดื้อๆ เบาสะกิดดึงชั้นในผมลงผ่านช่องซิปที่เปิดอ้า ปล่อยให้ผมเป็นอิสระโดยที่สัมผัสของผ้ายังโอบล้อมอยู่รอบๆอย่างน่ารำคาญ จะถอดก็ไม่ถอด จะใส่ก็ไม่ใส่


               ผมสูดหายใจลึก มองตาคู่คมที่ตวัดกลับมาตามเสียงเรียกแล้วก็อดร้อนวูบวาบไม่ได้ สารภาพจากใจเลยว่าไม่เคยมีใครกระตุ้นอารมณ์ผมได้ดีไปกว่ามาร์ค ไม่มีใครที่เพียงแค่สบตาก็อยากจะชวนขึ้นเตียง หรือดึงเข้ามาจูบซ้ำๆได้เท่านั้นมาก่อน ต่อให้ผมจะเคยมีทั้งคู่นอนและคู่รักมามากกว่า 2 โหล ที่หล่อจนเข็ดฟันแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านมือ


               แต่ที่เร้าใจกว่ามาร์ค… ขอบอกเลยว่าไม่มี

               ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสายตาที่ไม่เคยปิดบังว่าต้องการผมของอีกฝ่ายก็เป็นได้





------------------------------------------------------------------------------------------




               ผมกำลังนึกถึงอดีต..

               ตอนนั้นเราน่าจะอยู่ม.ปลาย ในห้องสมุดของโรงเรียน มุมหนังสือประวัติศาสตร์เก่าคร่ำคร่าที่มีแต่กลิ่นราและตำราที่หนาพอๆกับเอวมาร์ค อย่าว่าแต่ตอนเย็นเลย ขนาดตอนพักยังไม่มีใครเข้าไป บรรณารักษ์เองก็ไม่เคยเดินตรวจเข้ามาถึงตรงนี้ คนที่ชอบไปก็มีแต่เรา..

               ใช่ ผมกับมาร์ค

               อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ตอนนั้นเราเป็นสมาชิกของสภานักเรียนกันทั้งคู่ มาร์คเป็นประธานของหน่วยงบประมาณ ส่วนผมเป็นประธานฝ่ายสันทนาการ รับผิดชอบเรื่องของกิจกรรมชมรมต่างๆ และเรากลับบ้านเย็นทุกวัน โชคดีที่ด้วยภาระหน้าที่ทำให้เราได้กุญแจเข้าออกห้องต่างๆมาครอบครองไว้กับตัว

               เราสำรวจทั่วทั้งโรงเรียน ไม่มีส่วนไหนที่เราไม่ไป เราแอบใช้สระว่ายน้ำโรงเรียนตอนกลางคืน เราฟัดกันในห้องอาบน้ำของชมรมกีฬา เราขนเกมจากที่บ้านมาต่อโปรเจคเตอร์จอยักษ์เล่นกันในห้องประชุม กระทั่งดาดฟ้าที่ปิดตายเราก็แอบขึ้นไปดูดบุหรี่กันประจำ ตลอดหกปีที่เรียนที่นั่น ผมว่าเรารู้จักโรงเรียนนี้ดีกว่าภารโรงหรือผู้อำนวยการเสียอีก

               แต่ที่ไปบ่อยที่สุดเห็นทีจะเป็นห้องสมุดนี่แหละ ใครใช้ให้มันอยู่ใกล้ห้องสภานักเรียนล่ะ?  


               ท่วงท่าตอนนี้ของเราคล้ายกับตอนนั้นมาก เพียงแต่สิ่งที่ผมพิงในตอนนั้นคือชั้นหนังสือไม้สูงท่วมหัวที่อัดตำราเรียนและตำราประวัติศาสตร์จนเต็มชั้นไม่ใช่ประตูห้องเก็บของที่บริษัท มาร์คยังคงนั่งท่าเดิมกับในตอนนั้น คุกเข่าลงกับพื้น มือวางอยู่ที่ต้นขาผม ปากขยับเป็นจังหวะนิ่มนวลจนผมกลั้นเสียงไม่อยู่

               ตอนนั้นมาร์คไม่เก่งเท่านี้หรอก เขาเงอะงะกว่านี้หลายเท่า เก็บฟันไม่ค่อยได้จนครูดผมแรงๆทุกที ไหนจะเขี้ยวสองข้างของเขาอีก ไม่อยากบอกเลยว่าเจ็บโคตรๆเวลางับลงมา แต่วันเวลาและประสบการณ์ก็มีผลมากจริงๆ ดูตอนนี้สิ พริ้วซะไม่มี ห่อปากรูดได้ไม่มีครูดมีข่วนซักแอะ ทั้งลิ้นนุ่มนิ่ม ริมฝีปากที่ดูดดึง และโพรงปากร้อนที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะละลายให้ได้นั่นทำงานร่วมกันได้ดีจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ออก ถ้าไม่ติดว่ามีงาน ผมก็อยากจะยืนโง่ๆให้มาร์คดูดเล่นสักครึ่งวัน


               ผมลูบเส้นผมสีเทาหม่นที่เริ่มจะซีดของอีกฝ่าย ประคองใบหน้าหล่อจนน่าหมั่นไส้นั่นเข้ามาจนชิด ได้ยินเสียงฟันของมาร์คกระทบกับซิปกางเกงดังกริ๊ก มันคงจะแรงไปหน่อยมาร์คถึงได้ชะงักไป และนั่นก็ทำให้ผมอดขำไม่ได้
               ตาคู่สวยมองช้อนขึ้นมาเพื่อบ่งบอกว่าไม่พอใจ ทั้งที่ปากก็ไม่ยักกะปล่อย ตอนแรกผมคิดว่าจะโดนกัดเข้าซะแล้ว แต่พอมาร์คถดตัวกลับไปข้างหลังจนเหลือแค่ปลายยอดของความรู้สึกคาไว้ในโพรงปากร้อนและเริ่มดูดรั้งมันหนักๆผมก็แทบจะลงไปดิ้น หัวสมองขาวโล่งจนรับรู้อะไรไม่ได้อีกนอกจากความพลิ้วไหวของปลายลิ้นที่บดลงมาอย่างหนักหน่วงแต่ก็นิ่มนวล ความร้อนที่โอบอุ้มแบบครึ่งๆกลางๆ และลมหายใจอุ่นที่กระทบหน้าท้องจนขนอ่อนลุกซู่

               ขี้งอนเอ๊ย..

               ผมออกแรงรั้งริมฝีปากนั้นเข้าหาตัว คาดหวังความลึกซึ้งที่มากกว่าแค่ส่วนปลายที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง แต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอม ขืนตัวเองไว้ แถมยังจงใจลงเขี้ยวมาจนผมต้องเงยหน้าซี้ดปากครางแบบทั้งเจ็บทั้งเสียว ได้แต่ขยำเส้นผมนิ่มระบายอารมณ์ที่พุ่งทะยานขึ้นมาแม้จะถูกสัมผัสแค่ครึ่งเดียว

               “มาร์ค…”

               มือผมไล้ลงจากกลุ่มผมนิ่ม สัมผัสต้นคอขาวด้านหลังที่ทั้งนุ่มและลื่นมือยิ่งกว่าอะไรพลางบีบเบาๆอย่างเอาใจ บางทีผมก็คิดนะว่ามาร์คไม่ควรจะเป็นฝ่ายรุกใครจริงๆ ตัวก็บางจะแย่ แถมผิวนี่โคตรเนียน สารภาพว่าผมก็เคยคิดอยู่ว่าอยากจะเป็นคนทำมันบ้าง
               แต่ดูเอาเถอะ ไอ้คนตัวผอมนี่ฝีมือมันเหลือรับประทาน จะหยิบจับขยับแตะอะไรก็ลุกเป็นไฟทั้งนั้น ผมยอมรับว่าแพ้ทางจนไม่สามารถสู้ได้ ยอมให้มันทำอย่างที่ชอบกับร่างกายตัวเองทั้งที่ผมไม่เคยยอมให้ใครทำ

               “ไม่งอนดิ..”


               สายตาที่ตวัดกลับมามองนั่น.. ไม่รู้เลยว่าจะนิยามว่าอะไร แต่ผมรู้สึกว่าน่ารักแปลกๆ ไม่รู้นะ คุณจะคิดยังไงก็ได้ แต่ผมว่ามาร์คมันน่าจะรอให้ผมขอโทษที่กระชากมันเข้ามาแรงไป หรือไม่ก็...แค่เสี้ยนอยากได้ยินผมขอร้องมันเท่านั้น

               เอ้า ยอมก็ได้ เห็นว่าน่ารักหรอกนะ



               “มาร์คครับ…”
               จริงๆแล้วผมเป็นคนพูดเพราะนะ เชื่อสิ สงสัยเพราะแม่ดุมากไปหน่อย ถึงเราจะไม่ได้พูดเพราะใส่กัน แต่ผมกับมาร์คก็ไม่เคยขึ้นกูมึงก็แล้วกัน เห็นแก่ใจแม่ของเราทั้งสองคน ท่านคงโวยวายแย่ถ้าเราจะเรียกกันแบบนั้น “เข้ามา… ละ--ลึกอีกนิดสิ..”

                ริมฝีปากร้อนนั่นทำตามที่ผมขอ ขยับเข้ามาลึกขึ้น..แต่ก็แค่นิดเดียวจริงๆ ครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ถึง อยากจะโบกมันแรงๆซักทีให้กับความขี้แกล้ง แต่ก็กลัวมันจะกัดซะขาดก่อนเลยต้องห้ามใจไว้


               “ลึกอีก..ครับ..”

               “ซี้ดดด.. เข้ามา..”

               “มาร์ค… เร็ว มาร์ค… อ๊ะ..อีก! มาร์ค..!”



               ถ้าแค่ขอร้องหวานๆแล้วมันจะยอมทำให้ดีขนาดนี้ คราวหน้าลองเรียกมันหวานๆเพราะๆ แบบ ‘ที่รัก’ บ้างดีไหมนะ

               เผื่อมันจะใจอ่อนยอมให้ผมทำมันบ้างอะไรบ้าง..




------------------------------------------------------------------------------------------





               ผมเดินกลับแผนกอย่างอารมณ์ดี ตัวเบาสบายแทบจะลอยได้ ส่วนมาร์คน่ะเหรอ นู่น กลับบ้านไปนอนแล้ว มันบอกงานของเดือนนี้เสร็จตอนเจ็ดโมง รอหัวหน้ามาเซ็นผ่านเสร็จตอนเกือบเที่ยงเลยได้รับอนุญาตให้ไปพักได้ตามสะดวก

               พอเห็นหน้าที่เริ่มจะมียิ้มประดับอยู่บ้างแล้วเด็กในทีมผมก็ใจชื้น เดินเข้ามาถามไถ่อย่างเคย แม้จะดูกล้าๆกลัวๆอยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อผมเริ่มเล่นหัวกับมันเหมือนเคย ทุกคนก็ดูผ่อนคลายขึ้น

               “เมื่อกี้ผมโคตรกลัวอ่ะ ไม่เคยเห็นพี่โกรธขนาดนั้นมาก่อน”

               ผมหัวเราะเบาๆ ลูบหัวเด็กรุ่นน้องพลางเอ่ยขอโทษ ก่อนจะผละไปขอโทษสาวๆทีมคิดค้นที่เผลอโมโหใส่ไปเมื่อกี้ สั่งกาแฟจากร้านข้างล่างขึ้นมาเลี้ยงเป็นการไถ่โทษ บรรยากาศเฮฮาของฝ่ายโฆษณาเริ่มคืนกลับมา เหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนไม่มีอยู่จริง


ถ้าหากมาร์คเกิดอาการปรี๊ดแตก มีอยู่แค่สองอย่างเท่านั้นที่คุณสามารถทำได้
               
นั่นคือหนึ่ง ยัดบุหรี่เข้าปากมัน และสอง มาเรียกผมให้ไปหิ้วมันมาปรับทัศนคติ
               
แต่ถ้าหากวันหนึ่ง.. กลายเป็นผมที่รู้สึกไม่โอเคขึ้นมาบ้าง.. มีสองสิ่งเท่านั้นที่คุณทำได้เช่นกัน




หนึ่ง เปิดห้องเก็บของในบริษัทไว้ให้พร้อม
               
และสอง ไปเรียกมาร์คมาหิ้วผมไปเปลี่ยนบรรยากาศในนั้นสัก 30 นาที

รับรองว่าหายเป็นปลิดทิ้ง




------------------------------------------------------------------------------------------





"มาร์ค..."
"....."
"โอ๋ๆ ไม่งอนๆ คุยกันดิว้าาาาา"
"นี่สั่งไก่มาง้อแล้วนะ นะๆๆ"



#มสเพื่อนร่วมเตียง


LI5HT

Comments