BED FRIEND : 003



003


จริงๆแล้วผมคิดว่าร่างกายกับจิตใจมันแยกกันนะ..
               
แบบว่า ใจเราอาจจะผูกพันกับใครก็ได้ หวั่นไหวกับใครก็ได้ หรือตกหลุมรักคนสักสี่ห้าสิบคนก็ได้ในชีวิตนี้
               
แต่ร่างกายมันดันตอบสนองได้ดีกับใครบางคนเท่านั้น.. แบบที่ใครก็เทียบไม่ได้เลย





               ผมนอนบิดรูบิคแก้เบื่ออยู่บนที่นอน วันนี้วันหยุดก็จริง แต่ผมขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัวไปทำอะไรนอกจากนอนเฉยๆ เมื่อกี้แจ็คสันเพิ่งออกไปข้างนอก เห็นว่าแฟนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ดีไม่ดีวันนี้มันอาจจะไม่กลับห้องก็ได้
               ว่าแต่พี่เขาจะว่าไงบ้างนะ.. ไอ้ผมก็ดันทำรอยไว้ซะเยอะเลย

               คิดอะไรอยู่เพลินๆ โทรศัพท์ที่วางบนหัวเตียงก็สั่น เมื่อหยิบมาดูก็พบว่ามันคือข้อความจากแบมแบมนั่นเอง อีกฝ่ายถามว่าผมว่างไหม คงอยากชวนออกไปเที่ยวล่ะมั้ง?

               สารภาพตรงนี้เลยว่าขี้เกียจ ผมเลยพิมพ์ข้อความชวนอีกฝ่ายให้มาที่ห้องแทน ไหนๆคืนนี้รูมเมทอาจจะค้างข้างนอก จะพาใครเข้าห้องก็ไม่ต้องคิดมากเท่าไหร่ แน่นอน เมื่อผมออกปากชวนอีกคนก็ตอบรับอย่างเร็วเหมือนรออยู่แล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่แชร์โลเคชั่นให้เท่านั้นอีกฝ่ายก็มาถูก



               ผมลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันนิดหน่อย หยิบเอาเสื้อ… อ้าว ตัวนี้ของแจ็คสัน แต่ก็ช่างเหอะ ใส่ได้เหมือนกัน เปลี่ยนกางเกงนอนเป็นกางเกงที่ดูพอจะรับแขกได้บ้างพลางหยิบบุหรี่มวนแรกของวันมาจุด ออกไปยืนสูบที่ระเบียงฆ่าเวลา

               หน้าหนาวก็ยังเป็นหน้าหนาว ต่อให้มีแดดก็ไม่อุ่นเท่าไหร่ ผมใส่เสื้อบางๆแบบนี้ก็ชักจะสั่นเหมือนกันแต่ก็กลั้นใจยืนสูบจนหมดมวน ค่อยรู้สึกตื่นกว่าเดิมหน่อย โยนก้นกรองทิ้งถังขยะไปก่อนจะกลับเข้ามาข้างใน หาอะไรกินเป็นมื้อเช้าหลังจากเมื่อคืนใช้แรงในห้องน้ำมากไปหน่อย ไหนจะโดนใช้เช็ดพื้นอีก หิวจนกินได้ทุกอย่างแล้วเนี่ย



               ราวๆครึ่งชั่วโมงแบมแบมก็มาถึงห้องผม นั่งคุยกันนิดหน่อย เอาเครื่องเกมออกมาต่อเล่นอีกสองสามตา ก่อนที่ผมจะได้ฤกษ์เปิดใช้ถุงยางอนามัยกล่องใหม่ที่ฝากแจ็คสันมันซื้อวันนั้น..
               เห็นหน้าตาอย่างนี้ผมก็ป้องกันอยู่น่า อย่างที่รูมเมทผมชอบบ่นนั่นแหละ ผมเปลี่ยนแฟนบ่อย ดังนั้นใครเป็นอะไรมาบ้างก็ไม่มีทางรู้ผมเลยใช้ตลอด มันอาจจะยุ่งยากไปบ้างแต่ก็ดีกว่าต้องลางานไปโรงพยาบาลทีหลัง


               แต่ถ้ากับแจ็คสัน.. อันนั้นเป็นข้อยกเว้น



               ผมไม่เคยใส่เลยเวลาทำกับอีกคน ไม่รู้เพราะเราไม่เคยใช้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มทำกันหรืออะไรกันแน่ แต่แจ็คสันเองก็ดูจะชอบที่เป็นแบบนั้นนะ ถึงมันจะบ่นกระปอดประแปดเวลาต้องเอาออกทีหลังก็เถอะ

               ผมว่ามันไม่ได้จริงจังนักหรอก อย่างมากก็แค่บ่นสองสามประโยคพอเป็นพิธี และครั้งถัดไปก็ขย่มซะสุดซอยเหมือนเดิม แถมรัดกันซะแน่นอย่างกับไม่อยากจะให้ดึงออกไปไหน ครางขอให้ปล่อยข้างในเสียงอ่อนเสียงหวานซะผมเกือบเสียผู้เสียคนทุกที


               อา.. ผมไม่ควรคิดถึงแจ็คสันตอนทำกับคนอื่นอยู่จริงๆ

               รู้สึกเหมือนจะเสร็จซะให้ได้ตลอดเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คิดว่าจะนานกว่านี้นะเนี่ย..





------------------------------------------------------------------------------------------





               “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

              ผมเสนอตัวทันทีที่แฟน.. เออ คงต้องเรียกแฟนแล้วมั้ง? ช่างเหอะ เอาเป็นว่าแบมแบมกำลังจะกลับหลังจากที่โดนฟัดไปสองรอบ คนอายุน้อยกว่าดูค่อนข้างเพลีย ผมก็เลยจะไปส่งเสียหน่อยในฐานะแฟนที่ดี
               ว่าแล้วก็สะบัดกางเกงยีนส์สักตัวที่วางอยู่แถวนั้นมาใส่กับเสื้อของแจ็คสันเมื่อเช้า พ่วงโค้ทอีกหนึ่งตัว แค่นี้ผมก็พร้อมออกไปส่งแบมแบมกลับบ้านแล้ว


               จริงๆผมมีรถนะ แต่ผมไม่นิยมขับมันไปไหนเท่าไหร่เพราะเกลียดรถติด นานๆทีจะได้เอาออกมา อย่างเช่นวันนี้เป็นต้น แบมแบมดูตื่นเต้นชอบกลที่ได้นั่งรถที่ผมขับ ซึ่งนั่นก็..น่ารักดี ผมว่าน้องมันก็ใสๆดี เป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่ไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่ในช่วงปีสองปีนี้ เพราะตั้งแต่ทำงานมาก็เจอแต่อะไรเครียดๆ พออยู่กับเด็กๆแล้วก็เหมือนชีวิตจะสดใสไปด้วย อะไรเทือกๆนั้น


               ขณะที่ติดไฟแดง มือถือผมก็สั่น เป็นใครไม่ได้นอกจากรูมเมทผมเอง


               “ว่า?”

               “อืม กำลังออกไปส่งแบม ใช่..”
               ผมหลุดยิ้มขำกับสิ่งที่อีกคนพูด ก่อนจะสบถด่ามันไปเบาๆ

               “ได้ รอนั่นก็แล้วกัน เดี๋ยวไป”

               ผมวางสายไปแล้ว แต่จากหน้าตาที่ดูอยากรู้ว่าเป็นใครของคนที่นั่งเบาะข้างตัวแล้ว… คงต้องบอกสินะ

               “แจ็คสันน่ะ รูมเมทพี่” ไม่รู้ทำไม ผมชอบใช้คำว่ารูมเมทกับแจ็คสัน จะบอกว่าเราเป็นเพื่อน..ก็ใช่นะ แต่เราก็เป็นหลายๆอย่างนอกจากนั้นด้วย จะให้อธิบายก็ยาว ก็เลยนิยามคำใหม่ที่ดูลวกๆที่สุดขึ้นมาเพื่อป้องกันคนถามต่อความยาวสาวความยืด

              “พี่ดูสนิทกันเนาะ” อืม.. และนั่นก็เป็นคำที่ทุกคนต้องพูดเหมือนกันเวลาผมเอ่ยถึงแจ็คสัน

               ก็รู้จักกันหมดทุกซอกทุกมุมขนาดนี้ จะไม่สนิทกันได้ยังไงไหว?


               “เป็นเมทกันมาตั้งแต่มหาลัยน่ะ” ผมตอบเลี่ยงๆ จะบอกว่าสนิทกันตั้งแต่เกิดก็ขี้เกียจโดนซักไซ้ เชื่อไหมว่าผมไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องของเรา.. หมายถึงผมกับแจ็คสันน่ะนะ ให้ใครฟังเท่าไหร่ เชื่อว่าอีกคนก็ไม่ต่างกันนัก

               “หึงเหรอ?”

               ผมยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายถูกจี้จุดจนหน้าแดง โวยวายปฏิเสธพัลวัน ตลกดีนะ เป็นปฏิกิริยาที่ผมไม่เคยเห็นจากแจ็คสันเลย เพราะมันไม่หึงผม ผมก็ไม่เคยหึงมัน ออกจะแซวกับชงกันหนักๆกับคนอื่นด้วยซ้ำ.. ตอนแรกผมคิดว่าจะเกลียดการถูกหึงซะอีก แต่พอเห็นจริงๆแล้วดันรู้สึกว่าน่ารักดี ผมคงชอบแบมแบมอยู่บ้างแหละ



               ผมไปส่งแบมแบมที่หน้าบ้าน บอกให้อีกฝ่ายกินข้าวกินยาให้เรียบร้อย ครั้งแรกมีสิทธิ์เป็นไข้สูงดังนั้นจึงต้องระวัง โบกมือลาคนอายุน้อยกว่าเสร็จก็หยิบมือถือโทรหาอีกคนที่ตอนนี้คงไปถึงที่นัดหมายเรียบร้อยแล้ว

               “อยู่ไหน?” นั่นคือเสียงที่อีกฝ่ายถามมา ผมบอกตำแหน่งของตัวเองตามที่ GPS แจ้ง ก่อนที่ปลายสายจะรับคำ “รีบมา เดี๋ยวใจแตกเดินตามคนอื่นไปห้องน้ำ”

               ผมหัวเราะเบาๆ ถ้าได้เห็นผมหัวเราะ ทุกคนจะรู้ทันทีว่าคนที่คุยด้วยคือแจ็คสัน จริงๆแล้วคนที่ทำให้ผมรับสายได้ก็มีน้อยเต็มที ถ้ารับสายด้วย อารมณ์ดีด้วย...ก็มีแค่มันนี่แหละ


               ราวๆสิบห้านาทีผมก็มาถึงบาร์ที่เรามาบ่อยๆตั้งแต่เริ่มทำงาน จำไม่ได้เหมือนกันว่าใครเริ่มพามาก่อนแต่ก็ไม่ค่อยสำคัญหรอก ผมกับแจ็คสันชอบนัดกันที่นี่ถ้าเราอยากจะดื่ม มันค่อนข้างจะเงียบกว่าบาร์ทั่วๆไป ไม่ได้เปิดเพลงชวนเต้นหรือมีฟลอร์ให้เบียดกันแบบที่อื่นๆ เพียงแค่มีบาร์ มีโต๊ะให้สั่งเครื่องดื่มมานั่งคุยกันแบบผู้ใหญ่ๆมากกว่า

               และนั่นไง... ที่นั่งประจำของเรามีรูมเมทผมนั่งรออยู่แล้ว

               บริเวณทางซ้ายของบาร์ปรากฏร่างของผู้ชายคนหนึ่งในชุดลำลองสีเข้มทั้งตัว ผมเซทเสยไปข้างหลัง กำลังนั่งเป็นอาหารตาของคนในร้านอย่างเปิดเผย และดูมันก็ไม่ได้เคอะเขินกับการถูกจ้องแต่อย่างใด ยังมีหน้าหันไปเล่นหูเล่นตากับเขาด้วยอีกต่างหาก

               แจ็คสันโบกมือเรียกผมทันทีที่เห็น ไม่รู้รึไงทำให้คนมองกว่าเดิมอีก ทั้งที่อยากจะเดินเข้าไปเงียบๆแท้ๆ
               แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็ต้องโดนมองอยู่แล้ว ก็พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าหล่อ


               “สั่งให้ยัง?” ถามพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างมัน หันไปหาบาร์เทนเดอร์ที่ยืนตรงนั้นก่อนจะได้คำตอบเป็นการเสิร์ฟค็อกเทลที่ผมชอบสั่งมาตรงหน้า
               อีกฝ่ายปล่อยให้ผมจิบเครื่องดื่มไปพักหนึ่งก่อนที่ไอ้ลูกตาวาววับนั่นจะหันมาจ้องกันพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม แจ็คสันคงรู้แหละว่าผมไปทำอะไรมาตอนที่เขาไม่อยู่


               “..ครั้งแรก” ผมตอบเบาๆแบบไม่ต้องให้ถาม “ก็ดีนะ แต่แน่นไปหน่อย ได้แค่รอบเดียว ทางนั้นสอง” ผมเท้าคางกับแขนตัวเอง เซ็กส์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็ถือว่าดีหรอก เพียงแต่ความเวอร์จิ้นของอีกฝ่ายนั้นก็ทำให้มีข้อจำกัดหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเรื่องลีลาหรือร่างกายที่ยังปรับเข้าหากันไม่ได้ดีเท่าไหร่ สารภาพว่าก็ทำไปนึกถึงอย่างอื่นไปด้วยกว่าจะเสร็จได้

               รูมเมทผมเสียอีกที่หัวเราะตาปิด “ใหม่ๆก็งี้น่า เดี๋ยวทำไปบ่อยๆก็ชิน” ผมยักไหล่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้บ่อยไหม งานจะถมหัวตายอยู่แล้ว “เมื่อกี้ก็ได้รอบเดียวเหมือนกัน ทางนั้นเจ็ทแล็ค”

               เราเคาะปากแก้วค็อกเทลเข้าด้วยกันโดยไม่ต้องบอก จะว่าไปก็น่าสงสารพี่ยองแจ เพิ่งกลับมาแท้ๆก็โดนคนบ้าพลังจับทำนู่นทำนี่เสียแล้ว คงได้สลบนานสมใจแน่ๆล่ะนะ

               “พี่เขาว่าไง เรื่องรอย” ผมยกแก้วขึ้นจิบอีกอึก ตบเบาๆบนอกอีกฝ่ายที่คงมีแต่รอยที่ผมกัดไว้เมื่อวานเต็มไปหมด

               “ไม่ว่าอะไร ตายังลืมไม่ขึ้นด้วยซ้ำตอนเข้าไปหา อุตส่าห์ซื้อข้าวไปให้ก็ไม่ได้กิน”


               ผมหัวเราะเบาๆ นั่นล่ะแจ็คสัน คนรักที่อ่อนหวานเสมอ คนที่ชอบเรื่องโรแมนติคอย่างพาไปเดทหรือดินเนอร์ใต้แสงเทียนในร้านที่ต้องจองล่วงหน้าในวันสำคัญ มีไอเท็มคู่ แอบไปเซอร์ไพร์สที่ห้องอีกฝ่ายในวันหยุดและใช้เวลาด้วยกันทั้งวัน ทำให้ไม่ว่าจะกี่รายๆก็เสพติดความเป็น ‘คนสำคัญ’ ที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่เวลาเลิกกับแฟนที แฟนเก่ามันถึงได้ดราม่าฟูมฟายยกใหญ่ พร่ำเพร้อถึงคนแสนดีคนนี้ที่ปล่อยให้หลุดมือกันทุกคนไป

               และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้เกี่ยวกับแจ็คสัน… ทุกคนที่ไม่ใช่ผมน่ะนะ

              เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เกิด ทำไมจะไม่รู้ว่าแจ็คสันไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น ว่ายังไงดีล่ะ? เรียกว่า ‘ใจดีโดยธรรมชาติ’ น่าจะดีกว่า แจ็คสันดีกับทุกคน ทำให้ทุกคนดีใจ คิดไปเอง หน้ามืดตามัว แล้วก็หลงแบบถอนตัวไม่ขึ้น แล้วก็ดันไม่ชอบปฏิเสธใครจนเกิดเหตุเข้าใจผิดบ่อยๆ
               แต่ถ้าหากใครมีปัญหา หรือทำอะไรให้ไม่พอใจขึ้นมา มันก็สามารถเขี่ยทุกคนทิ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

               แล้วก็ยังมีหน้ามาบอกว่าผมเลือดเย็น เหอะ..




               “ขอชนแก้วหน่อยได้มั้ยครับ?”

               เสียงใสๆดังขึ้นจากเก้าอี้บาร์ข้างตัวรูมเมทผม ผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ตัวสูงส่งยิ้มหวานมาทางเรา เขาใส่เสื้อตัวบางรัดรูปฟิตเปรี๊ยะจนไอ้คนปากไวแถวนี้ผิวปากหวือ ส่งยิ้มกลับไปตามวิสัยคนอัธยาศัยดีผสมหน้าหม้อนิดหน่อย

               “ชนกับคนไหนล่ะครับ?” ผมยิ้มนิดๆกับคำถามของรูมเมทตัวเอง หมุนเก้าอี้บาร์หันไปทางแจ็คสันพลางวางทั้งแขนทั้งคางพาดไหล่มันเอาไว้ อีกมือยื่นแก้วค็อกเทลที่เหลือแค่ 1 ใน 3 ไปชนกับของทางนั้นโดยไม่เล่นตัวให้มากความ ซึ่งอีกฝ่ายก็ชนกลับมาอย่างเขินๆ
               “อ้าว แย่งกันเฉยเลย..” ที่วางแขนของผมได้ทียกแก้วตัวเองมาชนบ้างไม่ให้น้อยหน้ากัน และนั่นก็ทำเอาคนมาใหม่หัวเราะคิกคัก “สรุปเลือกคนไหน...ครับ?”

               เสียงที่ขาดช่วงไปนั่น เป็นเพราะผมซบหัวลงกับไหล่อีกฝ่าย พ่นลมหายใจกระทบต้นคอมันแบบเน้นๆ แต่ยังคงส่งสายตาให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนอีกฝ่ายเสมองไปอีกทาง ยกแก้วค็อกเทลมาจิบทั้งที่หน้าเริ่มจะแดงปลั่ง

               ผมหัวเราะเบาๆกับอาการเสียงสะดุดของแจ็คสัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมแพ้ มือข้างนึงเอื้อมกลับมาข้างหลัง วางบนหน้าขาผมแถมยังบีบเบาๆ ก่อนจะลูบขึ้นลงช้าๆให้ได้เสียวเล่น ปากก็คุยไป มือก็ยังไต่ระดับบนขาผมไปอย่างนั้น ในขณะที่ผมเองก็ปลดมือลงจากไหล่อีกฝ่ายและลูบเบาๆลงมาเป็นแนวตรงอย่างอ้อยอิ่ง และหยุดตรงที่สะโพกแน่นๆใต้สกินนี่ยีนส์นั่นอย่างจงใจ

               ถ้าคุณไม่มองลงต่ำ จะรู้สึกว่าทุกอย่างของเราช่างเป็นธรรมชาติ เรายิ้ม เราคุยกับผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเหมือนเราสนใจอีกฝ่ายอย่างมาก แต่มือเรายังไม่เลิกลูบคลำซึ่งกันและกัน


               มันเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนแทบสังเกตไม่เห็นการเคลื่อนไหว นิ้วมืออุ่นของแจ็คสันสอดเข้ามาระหว่างรอยขาดของยีนส์บนหน้าขา สะกิดผิวเนื้อข้างใต้จนผมขนลุก แถมยังนวดคลึงเบาๆ ขยับนิ้วอย่างเนิบนาบเข้ามาที่ขาด้านในลึกขึ้นเรื่อยๆจนความร้อนเริ่มจะก่อตัวขึ้นภายในร่างผมอีกครั้ง

               ก็อยากจะบ่นหรอก แต่มือผมเองก็ไม่ได้นิ่งนัก ยังคงลูบขยำอยู่ที่สะโพกแน่น แม้จะตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่มือที่นวดคลึงก้อนเนื้อนั่นไม่มีสะดุดแม้แต่นิด ปลายนิ้วไล้เบาๆไปตามตะเข็บกางเกง ก่อนจะกดลูบเข้าไประหว่างกล้ามเนื้อนูน กดย้ำหนักๆไปตามร่องในขณะที่ยกค็อกเทลขึ้นจิบจนหมด เพลินลิ้นและเพลินมืออย่างบอกไม่ถูก

               กระทั่งมือของแจ็คสันเริ่มจะลูบเข้ามาลึกจนถึงจุดอันตราย บีบขยำยั่วเย้าอยู่ตรงต้นขาด้านในและปัดผ่านส่วนที่เพิ่งจะสงบลงได้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้อย่างจงใจจนน่าหมั่นไส้ และมือผมที่สอดเข้าไประหว่างร่องสะโพกใต้กางเกงยีนส์รัดเปรี๊ยะก็ขยับถูไถเบาๆกับบริเวณที่น่าจะเป็นส่วนที่ผมเพิ่งเข้าไปทักทายกับมันอย่างถึงพริกถึงขิงเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนอยู่เมื่อคืน เรียกให้ลูกแก้วสีน้ำตาลนั่นหันกลับมามองผม และผมก็สบตาอีกฝ่ายนิ่ง


               ไม่มีคำพูด แต่ผมก็รู้ได้จากสายตาที่ร้อนแรงจนแทบจะเผาไหม้ และสายตาที่ผมมองกลับไปนั่นก็คงไม่ต่างกัน

               บทสนทนาจากคนแปลกหน้าค่อยๆหายไปจากการรับรู้ของผม

               คืนนี้ เราคงไม่ได้หิ้วใครกลับบ้านแล้วล่ะ...












จริงๆแล้วผมคิดว่าร่างกายกับจิตใจมันแยกกันนะ..
               
แบบว่า ใจเราอาจจะผูกพันกับใครก็ได้ หวั่นไหวกับใครก็ได้ หรือตกหลุมรักคนสักสี่ห้าสิบคนก็ได้ในชีวิตนี้
               
แต่ร่างกายมันดันตอบสนองได้ดีกับใครบางคนเท่านั้น.. แบบที่ใครก็เทียบไม่ได้เลย




และสำหรับผม ใครบางคน ที่ว่า

คือผู้ชายที่ชื่อแจ็คสัน หวัง







------------------------------------------------------------------------------------------







"รูปงานเลี้ยงบริษัทปีก่อนนี่.."
               
"ก็ใช่ไง มาร์คใส่สูทขึ้นนะ ไม่ลองใส่ไปทำงานบ้างวะ?"


               
"ไม่ล่ะ เดี๋ยวนายแบบตกงาน"

"......เออ"





#มสเพื่อนร่วมเตียง
LI5HT

Comments